ตอนที่ 3 "ผมคิดว่าผมอยากจะเปิดร้านกาแฟน่ะครับพ่อ"ภูธนาเปิดประเด็นสนทนาบนโต๊ะอาหารมื้อค่ำหลังจากที่บอกเล่าเรื่องความเป็นอยู่ในระหว่างที่เรียนปริญญาโทอยู่ที่กรุงเทพ รวมทั้งแผนที่เขาวางไว้หลังจากที่เรียนจบ สิทธิและนราสบตายิ้มรับเห็นดีเห็นงามกับความคิดของลูกชายที่เริ่มมีความเป็นผู้ใหญ่และรู้จักคิดมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก "คิดดูนะครับ ไหนๆเราก็มีไร่กาแฟของเราแล้ว...เราก็น่าจะลองเอาผลิตผลที่มีอยู่ภายในไร่มา แปรรูปให้ได้กาแฟเลิศรสให้บุคคลภายนอกได้ลิ้มลอง ผมคิดว่านอกจากเราจะมีรายได้จากการส่งกาแฟไปให้บริษัทใหญ่ที่แปรรูปกาแฟแล้ว เรายังมีโอกาสโปรโมทไร่ของเราผ่านร้านกาแฟของเราอีกด้วยนะครับ ถ้าศึกษาถึงทำเลที่ตั้งแล้วไร่กาแฟของเราอยู่ถนนสายหลักที่เดินทางขึ้นทาง เชียงราย แน่นอนครับว่าต้องมีนักท่องเที่ยวที่เดินทางผ่านไปแน่นอน และถ้าเรามีร้านกาแฟบรรยากาศดีๆซักร้านให้นักท่องเที่ยวได้พักผ่อนระหว่าง ทาง ผมรับรองว่าไร่ของเราต้องเป็นที่รู้จักกว้างขวางแน่ครับ"ชายหนุ่มวิเคราะห์เป็นรูปร่างได้ชัดเจน คุณภูสิทธิพยักช้าๆเห็นตามด้วย "ที่ตาภูพูดมาก็น่าสนนะคะคุณ"ฝ่ายคุณนายกล่าวขึ้นก่อนที่อีกฝ่ายจะตอบรับแนวคิดลูกชาย ภูธนายิ้มๆเมื่อมารดาความเห็นไปในทางเดียวกันรวมทั้งบูรณาที่คอยพยักหน้าตาม "อื่ม พ่อก็เห็นด้วยกันแกนะเจ้าภู ร้านกาแฟบรรยากาศดีๆซักร้าน ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กๆแต่ถ้าเป็นที่รู้จักก็เหมือนกับเป็นโลโก้ให้กับไร่กาแฟของเราเช่นกัน"คราวนี้คุณภูสิทธิ์เริ่มจะมีความเห็นพร้องต้องกันเป็นรายต่อไป ยิ่งทำให้ชายหนุ่มมีแรงฮึกเหิมกล่าวต่อโดยไม่ให้เสียเวลา "นั่นสิครับ ผมคิดว่าร้านกาแฟควรจะมีชื่อเดียวกับไร่ของเรา คิดดูนะครับ ถ้ากาแฟของเราติดตลาดมีผู้คนเข้ามาดื่มมากมาย ก็เหมือนกับการโฆษณาไร่เราไปด้วยในตัว"เขาออกความคิดเพิ่มเติม บูรณายิ้มชอบอกชอบใจ "เจ๋งดีนะพี่ภู เหมือนกับร้านกาแฟหลายๆร้านไงที่ใช้แบรนด์เป็นชื่อเดียวกับไร่กาแฟที่อื่นๆ"น้องสาวยกนิ้วให้พลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ "อื่มใช่ พี่ยังคิดอีกนะยัยบูรว่าร้านกาแฟในนามของไร่ชาญทิพย์มันเป็นโลโก้ที่การัน ตรีว่ากาแฟของเราได้คุณภาพและรสชาติไม่น้อยหน้ากาแฟของร้านไหนๆ นอกจากรสชาติกาแฟที่กลมกล่อมแล้วยังต้องมีมีบริการที่หลากหลายทั้งเบเกอรี่ มุมอ่านหนังสือในสวมหย่อม พี่ว่ามันต้องเป็นร้านกาแฟที่สมบูรณ์แบบ" "อื่ม เป็นความคิดที่ดีนะ...เอาแบบนี้เดี๋ยวเรื่องร้านหรือเงินทุนพ่อออกให้เราเอง"คุณภูสิทธิ์ยอมทุ่มเต็มที่กับธุรกิจใหม่ของลูกชาย ขณะที่ชายหนุ่มลดรอยยิ้มลงเล็กน้อยคงเพราะมีอะไรอยู่ในใจแล้ว "เออ...คุณพ่อครับ...คือผมตัดสินใจเอาไว้แล้วครับว่าผมอยากจะสร้างร้านนี้เองด้วยมือของผมเองโดยที่ไม่รบกวนพ่อกับแม่" "อ้าว ทำไมล่ะตาภู"คุณนราเพ่งสายตาจับจ้องไปยังลูกชายด้วยความฉงน ชายหนุ่มยิ้มจางๆสบตากับแม่ได้ไม่อย่างเก้อเขิน "ผมอยากจะเรียนรู้งานด้วยตนเองครับ...ผมเคยฝันนะครับว่าผมอยากมีร้านกาแฟเป็นของตนเองโดยใช้ชื่อภายใต้ไร่ชาญทิพย์ ผมจะจัดการทุกอย่างด้วยตนเอง...ผมอยากให้มันออกมาด้วยมือของผม เหมือนที่พ่อสร้างไร่ชาญทิพย์มาด้วยมือของพ่อเอง"ภู ธนาหันไปสบตาภูสิทธิที่ยิ้มนัยตาตื้นตันในตัวลูกชายเพียงคนเดียวที่มีแนวคิด อยากสืบทอดเจตนารมที่เขาตั้งมั้นและปลูกปั้นทุกอย่างภายในไร่มากับมือ "อื่ม พ่อดีใจที่ภูคิดได้...พ่อภูมิใจแกมาก" "ขอบคุณครับพ่อ" เขาโค้งศีรษะลงเล็กน้อย กลับมายิ้มกว้าง "เออ...แล้วพี่ภูมีเงินทุนพอที่จะทำร้านแล้วหรือคะ"บูรณาเสริมขึ้น ชายหนุ่มยิ้มๆ "ยังไม่มี" "อ้าว แล้วแบบนี้จะสำเร็จได้ไงคะ" "โธ่ ยัยบูร พี่น่ะก็พอมีเงินทุนบ้าง แต่เพียงว่าพี่ต้องหาหุ้นส่วนมาช่วยอีกคน"เขาบอกเป็นแนว เรื่องของธุรกิจที่แน่นอนต้องมีแหล่งเงินลงทุน "หุ้นส่วน"น้องสาวร้องทวน ชายหนุ่มพยักหน้าพลัน "ใช่...หาหุ้นส่วนที่สนใจที่อยากจะเปิดร้านกาแฟร่วมกัน...ผู้มีนโยบายและแนวคิดร่วมกับพี่ไง" "แหม คงจะพวกเพื่อนๆพี่ภูมาช่วยล่ะสิท่า"บูรณาดักคอแกมรู้ ภูธนาหัวเราะชอบใจ "ถ้า คิดไม่ออกจริงๆค่อยพึ่งพวกมัน พี่ไม่อยากทำธุรกิจกับพวกนั้นเท่าไร เขาไม่ค่อยสนใจธุรกงธุรกิจเท่าไรหรอกส่วนมากสนใจเรื่องไม่เป็นเรื่องกัน พี่อยากหาคนที่เขาสนใจเหมือนพี่จริงๆอย่างน้อยก็คุยกันคอเดียวกันจะได้สบาย ใจ"ชายหนุ่มบอกพลางนึกวาดวิมานในอากาศ หากเขาหาคนที่มีอุดมการณ์เหมือนกันได้ทุกอย่างก็จะเป็นไปตามฝันต่อให้หนัก หนาสาหัสเพียงไรเขาก็จะฝ่าฟันไปให้ได้ในเมื่อร้านกาแฟนี้เป็นร้านที่เขาจะ สร้างมันมาด้วยมือของเขาเองบ้าง ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ "ร้าน กาแฟ! ไอ้กรแกรู้มะว่าฉันมีความฝันที่อยากจะเปิดร้านกาแฟแสนอบอุ่น รสกาแฟหอมหวานกลมกล่อมจะต้องตราตรึงอยู่ในหัวใจของทุกคนที่เข้ามาสัมผัส ภายในร้านมีการตกแต่งอย่างเรียบง่าย มีกลิ่นของกาแฟและเบเกอรี่หอมอบอวลทั่วร้าน ด้านหน้ามีมุมอ่านหนังสือและสวนหย่อมเล็กๆเย็นสบายให้นั่งพักผ่อนมีเพลงเบาๆ กล่อมให้นึกเคลิ้มฝัน...นี่คือร้านกาแฟที่แสนโรแมนติกมากๆเลยนะ" อิงแก้วหลับตาพริ้มในมือยังถือหนังสือคู่มือบ้านและสวนซึ่งเสนอร้านกาแฟแห่งหนึ่งที่จัดและตกแต่งได้อย่างเรียบง่ายและลงตัว กรวิทยื่นหน้าออกมาจากเคาน์เตอร์จ้องเพื่อนด้วยความฉงน "ท่าจะเป็นเอามากเลยว่ะไอ้อิง" "ฉันพูดจริงๆนะ"เจ้าหล่อนตอบสีหน้ามุ่งมั่น เพื่อนหนุ่มที่เลิกคิ้วรับ "ทำอย่างกะมีตังค์เปิด...เธอรู้มะไอ้ที่เธอว่ามาน่ะ มันต้องใช้เงินทุนมากนะ แค่ลำพังเธอจะมีปัญญาเหรอ"กรวิทเหล่ตามองดูสภาพเพื่อนสาวแล้วชวนให้เหนื่อยใจ อีกะแค่เรียน ยังบ่นแทบตาย...นี่คิดจะเปิดร้านกาแฟคิดเสียใหญ่โต "ก็แกไง แกมาลงทุนกะฉันสิ" "บ้า ตังค์ในกระปุกเราน่ะยังมีไม่ถึงแสนเลย แค่ร้านหนังสือก็พอยาไส้แค่ลุ่มๆดอนๆเธอจะให้เราเอาเงินที่ไหนมาลงทุน"เขาโบกไม้โบกมือไม่เอาไม่ร่วมด้วย เจ้าหล่อนมีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย "ว้า อย่างงี้ความฝันของฉันก็สลายสิ" "ก่อนที่จะเปิดร้านกาแฟ ถามจริงว่าทำอะไรเป็นบ้าง กาแฟน่ะชงเป็นมะ"เพื่อน ชายถามพลางแลมองเจ้าหล่อน ตั้งแต่ได้รู้จักกันมาหล่อนทำอะไรไม่เคยทำอะไรเป็นสับปะรดสักครั้ง...แต่ถ้า เป็นเรื่องปากน่าจะพอใช้ได้ อิงแก้วพ่นลมหายใจห่อเหี่ยวฟุบคางเกยโต๊ะ "ฉันทำไม่เป็นหรอก...ขนาดชงกินเองรสชาติยังไม่ใช่เลย" "เห็นมั้ย อย่าไปทำเลย เหนื่อยเธอเปล่าๆ เราว่าเธอตั้งหน้าตั้งตาหางานเหอะ จบมาไม่กี่เดือนเองเดี๋ยวแปปเดียวได้ทำงานก็มีเงินเดือนเก็บกินละ ดีกว่ามาชงกาแฟอีกนะ" "นี่แกอย่ามาดูถูกฉันนะ...แกไม่รู้อะไร แค่เรื่องชงกาแฟน่ะ ฉันทำได้ถ้าฉันตั้งใจจริงๆ ฉันน่ะอยากมีร้านจริงๆนะ"ตีโพยตีพายใหญ่ตามฉบับ แต่เขายังไม่เชื่อในตัวเพื่อนสาวมากนักเพราะรู้จักตัวตนว่าเป็นคนอย่างไร "งั้นก็ลองแสดงฝีมือซักหน่อยจะได้ไหมล่ะ ว่าเธอน่ะพอจะเปิดร้านกับเขาไหมมั้ย"กรวิทบุ้ยหน้าไปยังห้องครัว หญิงสาวหันไปมองก่อนจะกลับสายตามายังเพื่อนด้วยความมุ่งมั่น "แน่นอนอยู่แล้ว แกคอยดู"ว่าแล้วเดินตรงดิ่งเข้าไปในห้องครัวฉับๆ กรวิทส่ายหน้าให้กับท่าทีแสนจะอวดเก่งของหญิงสาว ไอ้ท่าดีแบบนี้เห็นทีเหลวมาแล้วก็หลายหน อิงแก้วเดินเข้าไปหลังร้านจนลับตาขณะเดียวกับที่กิตติพี่ชายแท้ๆของกรวิทเปิดประตูหน้าร้านเข้ามาพอดี กรวิทโบกมือทักทาย พี่ชายคนโตยิ้มตอบ กิตติเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีผิวขาวละเอียด ร่างสูงโย่ง ไรผมสีน้ำตาลประกายเข้มติดจะเป็นคนยิ้มง่ายไม่เรื่องมาก สาวๆในระแวกนี้ต่างพากันหลงใหลเขาอยู่ไม่น้อย แต่เขาเป็นคนซื่อสัตย์ต่อคนรักจึงไม่คิดวอกแวกมองสาวอื่น สองพี่น้องนี้ถึงจะหน้าตาคล้ายกันเพียงใดแต่ทว่ากิตติดูภูมิฐานมากกว่ากรวิท คงเพราะมีวัยวุฒิและคุณวุฒิที่ทำให้สองพี่น้องมีความเหมือนที่แตกต่างขณะที่กิตติเปล่งประกายราศีมากกว่าคนอื่นๆ "มาร้านแต่เช้านะกร"ชายหนุ่มกล่าวทักทายน้องชายที่มาถึงร้านก่อนแล้ว กรวิทยิ้มกว้างขวาง "ครับ พี่กิตก็ตื่นเช้าเหมือนกันนะ กรคิดว่าพี่กลับมาเหนื่อยน่าจะตื่นสายๆ" "ไม่ล่ะ พี่อยากมาดูร้านมากกว่า"ชายหนุ่มเดินตรงมายังเค้าน์เตอร์พร้อมกวาดตามองรอบๆสถานที่แห่งนี้ยังคงเดินและพวกเขาก็ไม่เคยลืม สถานที่ที่ผู้ชายที่พวกเขารักทิ้งไว้เป็นสมบัติชิ้นสุดท้าย "ร้านก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงอะไรมากเลยนะ"กิตติ ยังลงชายตามองไปยังโคมไฟระย้าแบบโบราณที่ยังผูกติดบนเพดานกลางร้านนับสิบปี และยังคงไปด้วยความทรงจำอันล้ำค้าที่พ่อของเขาได้สร้างมันขึ้นด้วยหัวใจ "กรว่าบรรยากาศที่พ่อสร้างก่อนจากพวกเราไปมันสมบูรณ์พอแล้ว" สองพี่น้องทราบกันดีกว่า พ่อของพวกเขาไปอยู่กับแม่บนสวรรค์แล้ว ก่อนหน้านี้ที่กิตติจะไปเรียนต่อเมืองนอกพวกเขาอยู่ด้วยกันสามคนพ่อ กิตติและกรวิทหลังจากเสียแม่ไปตั้งแต่กรวิทเกิด แต่พ่อก็เลี้ยงดูลูกชายทั้งสองเป็นอย่างดี จนกิตติได้ทุนไปเรียนต่อเมืองนอก ส่วนกรวิทเรียนจบทางด้านการตลาดมหาวิทยาลัยเดียวกับอิงแก้ว แต่เพราะโรคมะเร็งที่รุมเล้าทำให้พ่อต้องจากพวกเขาไปได้หนึ่งปีก่อนที่กิตติ จะเรียนจบ "พ่อจะรอดูความสำเร็จของเรา"กิตติตบไหล่น้องชายเบาๆ กรวิทยิ้มรับ "ก็พี่กิตติก็เป็นพ่อคนที่สองไงครับ"กรวิทเนียนเปลี่ยนเรื่องเพื่อไม่ให้บรรยากาศเงียบไปกว่านี้ อดีตมีไว้จดจำและบางครั้งก็ไม่ควรให้มันเศร้าเกินขอบเขต กิตติส่ายหน้ารู้ทันแผนน้องชายก่อนจะหันเหความสนใจมายังหนังสือบ้านและสวนที่อยู่ตรงหน้าพอดี "บ้านและสวน...นายชอบอ่านเหรอกร"กิตติเงยหน้าจากกองหนังสือ กรยิ้มแกมขำ "เปล่า พอดียัยอิงเอามาเปิดอ่านน่ะ" "อิง...อิงแก้วที่เป็นเพื่อนกรตอนมัธยมใช่มั้ย"เขาเอียงศีรษะเล็กน้อยพอให้ครุ่นคิด กรวิทหรี่ตามองไปยังห้องครัวได้ยินเสียงกุกกัก "ใช่แล้วครับ ยัยอิงจอมติงต๊องที่เคยด่ากรปาวๆที่กรไปซ้อมการแสดงช้า"เขาย้อนถึงอดีต ตอนที่เขายังเรียนมัธยมปลายที่ได้แสดงละครกับกลุ่มของอิงแก้ว กรวิทได้รับบทเด่นเป็นคนเดินเรื่องแต่กลับมาสายให้เพื่อนๆต้องรอ อิงแก้วเป็นผู้กำกับและแต่งเนื้อเรื่องถึงกลับวีนแตกเมื่อรู้ว่าตัวเด่นเพียงคนเดียวมาสายและทำให้ทุกอย่างล่าช้า กรวิทจำได้แม่นว่าไม่กี่นาทีที่เขาเดินย่างสามขุมเข้าไปในศาลาที่ซ้อมการแสดง อิงแก้วเพื่อนสาวก็สวดมาเป็นชุดชนิดที่เขาและกิตติที่ตามมาด้วยแทบจะไม่ได้อ้าปากพูดเลยทีเดียว "ตอนนี้คงจะโตเป็นสาวแล้ว...เรียบร้อยขึ้นมั้ย"กิตติลดเสียงกระซิบหวั่นอิงแก้วจะได้ยินว่าพวกเขากำลังเปิดประเด็นถึงเธออยู่ กรวิทถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆ "เดี๋ยวก็คอยดูเองเหอะ"น้องชายยักคิ้ว ว่าแล้วอิงแก้วเดินถือถ้วยกาแฟออกมาพอที วางกึกที่เค้าน์เตอร์จนน้ำกาแฟทะลักหกลงเล็กน้อย "ชิมเลย แกจะได้รู้ว่าฉันก็ทำกาแฟได้"หน้าตาหล่อนเอาเรื่องน่าดู กิตติยิ้มๆเมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของเจ้าหล่อน พลอยนึกคราวหลังเมื่อครั้งก่อนตอนที่หล่อนยังมัดแกละสองข้างในมือถือบทพูดแสดงละครเวที และภาพนั้นยังคงติดตามตรึงใจมาถึงปัจจุบัน ขณะที่อิงแก้วหันกลับมามองกิตติพลางเอียงหน้าเล็กน้อย "เอ้...คล้ายกับพี่กิตติเลยเนอะ"เจ้าหล่อนจ้องตาแป๋ว กรวิทหัวเราะชอบใจที่เจ้าหล่อนทำหน้าได้น่าเอ็นดูกิตติยังวางสีหน้าปกติถึงแม้จะปรากฏรอยยิ้มบางๆ "ไม่คล้ายแล้วแต่ใช่เลย" "อ้าว พี่กิตติเองเหรอเนี่ย"เจ้าหล่อนร้องเสียงสูงตื่นเต้น ชายหนุ่มยิ้มกว้าง "ไม่ได้เจอกันตั้งนานนะหนูอิง" "อ่อค่ะ ได้ข่าวว่าพี่กิตติไปเรียนทางด้านวรรณกรรมมาหรือคะ"อิง แก้วหน้าแดงขึ้นมาเฉยเมื่อประจันหน้าตรงๆกับกิตติ เขาหล่อขึ้นมากและดูสุภาพไม่เปลี่ยนซึ่งทำให้อิงแก้วถึงกลับพูดผิดพูดถูกแถม ยังไม่กล้าที่จะสบตา "ใช่จ้ะ"เขาพยักหน้าตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล หญิงสาวยิ้มนัยน์ตาประกายพราว "เก่งมากเลยนะคะ เรียนทางด้านวรรณกรรมด้วย เนี่ย!อิงอยากเขียนนิยายน่ะค่ะ ถ้าพี่กิตติว่างอิงจะเอาเรื่องที่อิงแต่งมาให้พี่อ่านนะคะ"หญิงสาวพูดแจ้วๆ จนกิตตินึกทึ่งเจ้าหล่อนช่างจ้อเสียจริง "ได้สิ ถ้าอิงเอามาให้พี่อ่านพี่จะช่วยวิจารณ์" "ดีจริงค่ะ"เจ้าหล่อนแสดงความดีใจอย่างเปิดเผย กรวิทส่ายหน้าเห็นหน้าเพื่อนแล้วชวนให้ตลกขบขันก่อนจะยกกาแฟขึ้นมาจิบ และ ณ วินาทีนั้นที่เขาได้ลิ้มรสเขาก็ค้นพบว่า.... "แหวะ นี่มันกาแฟอะไรของเธอน่ะ"แลบลิ้นแบรบๆ อิงแก้วเหลียวกลับมามองแววตาใสวาว "ทำไมเหรอ" "ก็มันหวานน่ะสิ หวานไม่ธรรมดา....โคตะระหวานเลยเนี่ย"กรวิทดันถ้วยกาแฟให้ออกห่างมากที่สุด อิงแก้วนิ่งขมวดคิ้วมองเพื่อน "อะไรกัน ฉันว่ามันอร่อยแล้วนะเมื่อกี้ฉันชงไปด้วยชิมไปด้วยมันก็ดีแล้ว ตอนแรกมันขมจะตายไป ไม่เห็นเหมือนโอวันติน" กรวิทแทบจะปลิดวิญญาณ ก็มันหวานแทบจะเป็นน้ำเชื่อมแถมยังชงไปด้วยชิมไปด้วยอีกต่างหาก "อย่างเธอไปเปิดร้านกาแฟ...มีแต่เจ๊งกับเจ๊งน่ะสิ...แค่นี้ก็ทำให้เราขยาดกาแฟไปพักใหญ่ๆเลย แล้วแบบนี้นี่นะที่จะให้เราร่วมทุนด้วย...ล้มละลายแน่ๆ" "ฉันก็ไม่เห็นว่ามันไม่อร่อยตรงไหนเลย แกน่ะความรู้สึกไม่ถึงเอง"หล่อนหน้าเง้าให้ก่อนจะยกกาแฟแก้วนั้นขึ้นมาจิบ หลับตาพริ้มราวกับรสชาตินั้นกลมกล่อมหาที่เปรียบที่ไหนไม่ได้ ทั้งๆที่มันหวานจนแทบจะเลี่ยน "ถ้าอิงอยากเปิดร้าน อิงลองไปหาสไตล์ร้านแถวๆนี้ไหมครับ เผื่อจะมีไอเดียที่จะมาจัดร้าน วางโปรเจคไว้แล้วลองหาหุ้นส่วนดีไหม"กิตติแนะ อิงแก้วลืมตาจากความฝันหันกลับมามองชายหนุ่มหน้ามน "จริงด้วยสิคะ แต่ใครอยากจะมาร่วมหุ้นกับเด็กกะโปโลอย่างอิงล่ะคะ" "มีสิครับ อิงลองทำเป็นโปรเจคสิครับ ให้เป็นรูปธรรมแล้วนำไปเสนอ พี่คิดว่าถ้ามีคนที่มีอุดมคติแบบเดียวกับอิงเขาจะสนใจเอง"กิตติอธิบาย อิงแก้วยิ้มกว้างเมื่อได้แนวคิดริเริ่ม หล่อนกำลังปลาบปลื้มที่ชายหนุ่มไม่ได้มองข้ามสมองเล็กๆและความฝันของเธอเป็นเรื่องตลก แต่เขากลับเข้าใจว่าสิ่งที่หล่อนบอกกล่าวไปนี้สามารถเป็นจริงได้ถ้าหากทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอันและมุ่งมั่นทำมัน อิงแก้วเดินเลือกตำราการทำกาแฟให้อร่อยเลิศรสโดยมีบูรณามาส่งถึงห้างใหญ่ ดูอิงแก้วจะมุ่งมั่นที่จะทำร้านกาแฟในฝันเหลือเกิน ซึ่งความฝันของเจ้าหล่อนบังเอิญไปจะตรงกับความฝันของภูธนาได้อย่างเหมาะเจาะพอดี บูรณาแอบนึกนึกขันที่สองคู่อริที่ทำอะไรน่าจะขัดแย้งกันทุกเรื่องกลับมีบางสิ่งที่ชอบเหมือนกัน นี่หรือที่คู่กัดเขารู้สึกกัน มันต่างกันโดนสินเชิง เจ้าหล่อนแลเพื่อนสาวที่ยังคงขมักเขม่นอยู่กับการเลือกตำราทำกาแฟและขนมเค้กพลางกรอกตาคิดเรื่อยเปื่อย หากให้สองคนนี้มาร่วมหุ้นกันคงจะดีน่าดู "อิง แกอยากเปิดร้านกาแฟจริงๆเหรอ"บูรณาเดินตามเพื่อนสาวต้อยๆขณะที่อิงแก้วกำลังสาระวนกับการเลือกหนังสือทำเครื่องดื่มต่างๆ "แน่นอน....ฉันคิดไว้แล้วว่าถ้าฉันเรียนจบมาฉันจะต้องเปิดร้านกาแฟให้ได้" "อื่ม...น่าสนดีนะ" หล่อนยิ้มๆแกมเจ้าเล่ห์ ขณะที่อิงแก้วหยิบเล่มนู้นมาเปิดหยิบเล่มนี้มาดู "ใช่...แต่ว่าฉันเพิ่งไปชวนไอ้กรมันมาร่วมทุนด้วย...แต่มันก็ปฏิเสธฉันน่ะสิ" นึกแล้วพลอยให้เจ็บใจ แถมมาแช่งให้ร้านเจ๊งอีกต่างหาก...อิงแก้วกัดฟันกรอด บูรณายิ้มแหยๆ ใครๆเขาก็คงจะกลัวกัน...กลัวเจ๊ง "เหรอ"บูรณาขานเสียงสูง ซึ่งนั่นมันช่างเหมาะเจาะเสียเหลือเกิน จะมีใครเหมาะสมที่จะเปิดร้านกาแฟร่วมกับอิงแก้วไปได้ซะนอกจากภูธนา "นี่ สมมติว่าถ้ามีคนเค้าอยากจะทำร้านกาแฟเหมือนแก แล้วเค้าก็กำลังหาหุ้นส่วนอยู่ล่ะ" "จริงเหรอ"อิงแก้วหันกลับมาหาเพื่อนด้วยแววตากลมโต บูรณาพยักหน้างึกๆ "จริงสิ...เค้าคิดโปรเจคได้ดีมากเลยนะเค้าบอกว่า ร้านกาแฟที่เค้าจะทำน่ะจะเป็นแนวสบายๆ มีเบ เกอรี่หอมกรุ่น มีสวมหย่อมให้พักหย่อนใจ บรรยากาศโรแมนติกทำนองนี้"บูรณาบรรยาย อิงแก้วยิ้มกว้างแสดงอาการดีใจออกนอกหน้า "นั่นมันร้านกาแฟในฝันฉันเลย"อิงแก้วยิ้มหน้าบานแฉ่ง บูรณาปรบไม้ปรบมือชอบอกชอบใจ "เหมาะเจาะกันพอดีเลยนะแก...อีกอย่างเค้าก็กำลังหาหุ้นส่วนอีกคนอยู่ด้วย" "จริงเหรอ...ฉันก็กำลังหาหุ้นส่วนเหมือนกัน นี่ แกติดต่อให้ฉันทีสิ" เหยื่อนี่มาติดเบ็ดได้ง่ายกว่าที่คิด บูรณายิ้มไม่หุบ "ได้เลย...เดี๋ยวเย็นนี้ฉันกลับไปบอกเขาให้" "เย็นนี้"ชะงัก! บูรณาหุบปากที่เผลอพูดไปว่าอะไรนะ อิงแก้วขมวดคิ้วจับตามองเพื่อนสาว "อย่าบอกนะว่าคนที่แกคิดจะให้ฉันร่วมหุ้นคือพี่ชายเธอ" เงียบ....และนั่นยิ่งทำให้อิงแก้วได้คำตอบไปง่ายๆ "ไม่นะถ้าต้องมาร่วมหุ้นกับพี่ชายแก ไม่มีทางแน่ๆ"อิงแก้วเดินหนีทันพลันขณะที่เพื่อนสาววิ่งตามรั้งแขนไว้ได้ "ไม่ใช่นะยัยอิง ไม่ใช่พี่ภู"บูรณาแก้ต่าง อิงแก้วหยุดเดิน....ดูเหมือนจะมีความหวังและอยากจะเปิดร้านน่าดูเลยหยุดเอาเรื่องเอาราว "ไม่ใช่พี่ชายแกแน่นะ"เหลียวมาเหลือบแลมองคาดคั้น บูรณาพยักหน้าผ่านไปที "จริงสิ ฉันก็รู้แล้วนี่ว่าแกกับพี่ฉันไม่ถูกกัน ฉันจะให้แกไปร่วมหุ้นกับพี่ชายฉันได้ไง แหม อิงฉันคงไม่อยากเห็นแกกับพี่ฉันทะเลาะกันทุกวันหรอกนะ"บูรณาว่าวางทำสีหน้าเนียนเรียบไม่ส่อแววพิรุธ อิงแก้วยังไม่เลิกตั้งแง่ "แกแน่ใจได้ไง" "แน่ใจซี๊ ฉันก็รู้ว่าแกกะพี่ฉันมันคนละขั้ว แค่พวกแกเปิดสงครามกันขนาดนี้ ฉันคงไม่ไปจุดชนวนหรอก" บูรณาบอกปัดไปตามน้ำ แต่ทว่าอิงแก้วก็ไม่ได้ติดใจกับเรื่องนี้แต่อย่างใดและคิดว่าบูรณาคงไม่เอาคนที่เป็นศัตรูมาทำงานร่วมกันแน่ "ขืนมาร่วมหุ้นกัน ร้านกาแฟก็คงจะระเบิดพอดี"บูรณาอ้าง อิงแก้วพยักหน้า "งั้นเดี๋ยวฉันจะส่งไปโปรเจคไปให้คนที่แกติดต่อให้แล้วกันนะ เผื่อเขาได้เห็นแนวคิดแล้วอาจจะสนใจ"อิงแก้วบอก บูรณาพยักหน้าเร็วๆ "ดีเหมือนกันนะอิง ธุรกิจยังไงก็ต้องวางแผนไว้ก่อน" "ฉัน ตื่นเต้นชะมัดเลย"อิงแก้วเคลิ้มฝันภาพของหญิงสาวที่กำลังเฉิดฉายอยู่ในร้าน กาแฟบรรยากาศอบอุ่น เธอกำลังยิ้มแย้มรับลูกค้าที่มาใช้บริการและกล่าวชื่นชมกับรสชาติของกาแฟ พร้อมดื่มดั่มกับบรรยากาศสบายๆภายในร้านช่างเป็นฝันที่สุดแสนจะมีความสุข เหลือเกิน
|