ตอนที่ 3
ฉัน หอบกระเป๋าสัมภาระมาเก็บในบ้านปูนชั้นเดียวที่ขอเช่าไว้สักสามอาทิตย์เพื่อ ใช้ในการพักผ่อนแสนจำเริญริมหาดทรายสีขาว บ้านพักของฉันอยู่ไม่ห่างจากริมทะเลมากนักและติดถนน จึงสะดวกต่อการเข้าออก
ฉันคงตื่นเต้นไม่น้อยที่ได้ไปไหนมาไหนคน เดียวเสียที ฉันรู้ว่ามีงานของพี่ปุ๊งยังเป็นชนักติดหลัง แต่ไหนๆมาถึงวันแรกก็น่าจะหาความสุขให้ตัวเองบ้าง อย่างน้อยก็ขอให้ได้เดินเล่นสักพักก็คงไม่เสียหายอะไร
ฉันจัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ให้เข้ากับบรรยากาศ สบายๆด้วยเสื้อแขนกุดสีขาวและกระโปรงผ้าบาติคสีฟ้าคลุมเข่า ออกมาเดินทอดน่องไปตามชายหาดที่โค้งตัวไกลริบๆ เหลียวทะเลสุดลูกหูลูกตาประกายสีฟ้าคราม ท้องฟ้าในยามเย็นทอแสงสีส้มอ่อนๆ ฉันเพิ่งรู้ว่าผืนทรายนี้ช่างอ่อนนุ่มเหลือเกินยกเท้าเกลี่ยๆสัมผัสถึงเนื้อ ละเอียด ก่อนจะเงยหน้ารับลมทะเลสัมผัสถึงกลิ่นไอแห่งคลื่นที่น่าพิศวง หยุดยืนหลับตาพริ้มรับลมที่ปะทะเข้ามาจังๆ สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มๆปอด มันสดชื่นอะไรเช่นนี้อยากจะอยู่นานๆอย่างนี้จัง
เพราะมนสะกดของท้องทะเลที่ทำให้ฉันเดินมาไกลพอ ควร เบื้องหน้ามีบ้านไม้สีขาวอยู่ริบๆ ซึ่งคุ้นตาฉันอยู่ไม่น้อย ราวกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
"ฉันเคยเห็นที่ไหนกัน"
เพราะความอยากรู้จึงทำให้ขาฉันเดินตรงมาเรื่อยๆ ภาพเบื้องหน้าเริ่มขยายใหญ่และชัดเจนยิ่งขึ้น คุ้นตาจนแทบจะบรรยายรายละเอียดได้ทุกส่วน ทั้งสนามหน้าบ้าน ต้นลีลาวดี หรือแม้กระทั่ง....
หยุด....เงยหน้าช้าๆมองยังป้ายชื่อหน้าบ้านที่ เขียนติดป้ายไม้ขัดเงาสวยบนซุ้มดอกอัญชันที่ยาวเรื่อยขึ้นเป็นแนวเกรียวติด กับป้ายชื่อว่า
"บ้านแสงจันทร์ ทะเลแสนดาว!" ขนลุกซู่ขึ้นทันพลัน นี่มันชื่อ....ที่ฉันเคยพูดพร่ำอยู่เมื่อคืนนี้และบ้าน...ราวกับในฝันไม่มีผิดเพี้ยน นี่ฉันมายืนอยู่ตรงนี้ได้ไง...นี่ฉันเคลิ้มฝันอีกแล้วหรือเปล่าพิชสินีย์ "พี่ พี่สาวครับ" เสียงเล็กๆของใครสักคนทำให้ฉันหลุดออกจากภวังค์ เหลียวกับมามองเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ อายุราวๆเจ็ดขวบได้ยืนยิ้มฟันหลอให้น่ารักน่าหยิกเบื้องหน้า เด็กที่ไหนกันทำไมน่ารักน่ากอดได้ขนาดนี้ ฉันยิ้มตอบทรุดตัวนั่งยองๆให้ตัวเท่ากับเด็กน้อย
"หวัดดีครับพี่สาวคนสวย....พี่สาวมาหาใครครับ" เด็กชายกล่าวสนทนาด้วยคำพูดแสนฉลาด พร้อมยิ้มยิงฟัน
"เปล่าหรอกจ้ะพี่เพิ่งเดินผ่านมา พอดีเห็นว่าบ้านหลังนี้คุ้นตามากก็เลยหยุดมอง น้องรู้มั้ยครับว่าบ้านนี้เป็นของใคร"
เด็กน้อยยิ้มๆมองเขินอาย ฉันเพิ่งรู้นะว่าเด็กๆนี่ก็เขินเวลาอยู่ต่อหน้าสาวเหมือนกัน
"บ้านของพี่ชายของจาเองครับ"
"จา...ชื่อน้องหรือเปล่าจ้ะ"ฉันชอบเฟอะฟะเสมอ ที่ทวนชื่อเพื่อที่จะได้แน่ใจ ก่อนที่จะกล่าวสรุปอะไรออกไป
"ครับผมชื่อจา พี่สาวชื่อว่าอะไร"
"อ้อ พี่ชื่อนีย์จ้า พี่เพิ่งมาเที่ยวที่นี่....น้องจาอยู่บ้านหลังนี้หรือ"
"ครับ บ้านจาสวยมั้ย"เขาหันกลับไปที่ชี้ที่ตัวบ้าน ฉันยิ้มกว้างมองตามมืออันเรียวเล็กของเด็กหนุ่มเข้าไปในบ้าน
"สวยมากเลยคะ...พี่นีย์เห็นครั้งแรกยังคิดว่าฝันไปเลย...บ้านหลังนี้ถึงไม่ใหญ่มากแต่ก็อบอุ่น...สัมผัสได้ถึงความรัก"
เด็กชายยิ้มจูงมือฉันให้นำเข้ามาในบริเวณสวนหน้า บ้าน ฉันวิ่งเยาะๆตามเด็กตัวน้อยมาพบกับชิงช้าตัวเดิมที่ฝันถึงเมื่อคืนแต่ผิดกัน ตรงที่ไม่มีมงกุฎดอกไม้วางไว้ ทั้งสนามหญ้าเขียวสนและดอกลีลาวดีที่หล่นลงเกลื่อนพื้นก็คือความรู้สึกที่ ฉันเคยได้พบเห็นในความฝัน
"พี่นีย์ชอบมั้ยครับ" กิจจาเงยหน้ามองหญิงสาวที่ก้มลงมองร่างเล็กกระจิด
"ชอบจ้า...รู้มั้ยว่าบ้านสีขาวสวยสะอาดคือบ้านใน ฝันของพี่เลย พี่ฝันนะว่าอยากจะมีบ้านเล็กๆแบบนี้เป็นของตนเอง"หลับตาพริ้มรับบรรยากาศแสน โรแมนติก...หากได้เขียนนิยายในบรรยากาศแบบนี้คงจะดีน่าดู
"แต่ผมขออภัยที่ไม่สามารถยกบ้านหลังนี้ให้กับใคร ได้...เพราะที่นี่มีเจ้าของแล้ว" เสียงทุ้มแต่ดังกังวานทำให้ฉันสะดุ้งไปทั้งตัวลุกขึ้นเหลียวมองเจ้าของเสียง ซึ่งผู้ชายเป็นผู้ใหญ่แล้วไม่ใช่ของกิจจา
กรทวัช มองหญิงสาวด้วยอาการนิ่งสงบ จับจ้องมองหญิงสาวแปลกหน้าคนนี้ด้วยความไม่ไว้ใจ ก่อนจะเดินมาหาเด็กชายกิจจาพร้อมส่งสายตาแกมติ
"จา รู้มั้ยว่าป้านมตามหาแทบแย่"
"จามาเที่ยวบ้านทะเลแสงดาวเป็นประจำนี่ครับ...สุดท้ายพี่วัชก็มาเจอจาอยู่ดี"กระพริบตาปริบๆ กรทวัชยังคงนิ่ง
"แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน...เพราะครั้งนี้จาพาคนแปลกหน้าเข้ามาในบ้าน"
ฉันชะงักไปพัก เขาตวัดตามองฉันเพียงแวบเดียวจึงหันไปยังน้องชายก่อนจะจูงมือให้ออกห่างตัวฉันราวกับตัวอันตราย
"ฉันไม่ได้คิดร้ายกับน้องชายคุณเลยนะคะ คุณไม่ต้องกังวลหรอก"
"ผมคงไว้ใจใครที่เจอครั้งแรกไม่ได้หรอกครับ"
ที่จริงก็เป็นเหตุผลที่ดีในการอ้าง แต่เพราะใบหน้าไร้ความรู้สึกนั้นที่ทำให้ฉันนึกหมั่นไส้ลึกๆ การพบคนแปลกหน้าครั้งแรกต้องชักสีหน้าแบบนี้เสมอหรือ
"พี่วัชครับพี่นีย์ไม่ใช่คนใจร้ายหรอกครับ"เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นบอกพี่ชายพลางส่งรอยยิ้มกลับมาให้ฉัน
"คนเราพบกันครั้งแรกไม่รู้ใจหรอกนะ...."
เขาเหลือบมองฉัน จับจ้องไม่ไว้ใจอย่างเห็นได้ชัด เด็กน้อยกระตุกชายเสื้อพี่ชายพลางยิ้มละไม
"แล้วแบบไหนที่พี่วัชจะเรียกว่าไม่ใช่คนแปลกหน้าครับ"
"ก็คนที่เราเห็นหน้ากันบ่อยๆรู้จักกันมากๆ"
"แล้วถ้าเราเจอพี่นีย์บ่อยๆแบบนี้เราก็รู้จักพี่นีแล้วสิครับ" กิจจาร้องขึ้น วิ่งมาจับมือฉัน
"พี่นีย์ครับ พี่วัชบอกจาว่าถ้าจาเห็นพี่นีย์บ่อยๆ พี่นีย์ก็จะไม่ใช่คนแปลกหน้า...งั้นแบบนี้พี่นีย์ต้องมาหาจาทุกวันนะครับ" ฉันอมยิ้มเมียงมองเด็กน้อยแสนฉลาดก่อนจะเงยหน้ามองชายหนุ่มผู้อยู่เบื้อง หน้าขันๆ เขาเสียรู้เด็กไปแล้ว
"ว่าแต่จะไม่มีใครว่าพี่นีย์หรือคะ ถ้าพี่นีย์จะมาที่นี่"
"ไม่มีหรอกครับ...พี่วัชก็เพิ่งบอกไป เพราะอย่างนั้นพี่นีย์ต้องมานะครับ"
ฉันทรุดตัวนั่งยองๆยกมือขึ้นลูบผมเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู "ได้สิจ้ะพี่นีย์จะแวะมาหาน้องจาจ้ะ"
"เย้ๆๆพี่นีย์สัญญาแล้วนะครับ"เจ้าตัวน้อยกระโดดเหยงๆ ผิดกับกรทวัชที่ยังวางสีหน้าเรียบๆ
ฉันข้ามออกจากธรณีบ้านแสงจันทร์ ทะเลแสนดาว โดยมีกรวัชเดินตามมาติดๆสีหน้าท่าทางเคืองๆ คงมีเรื่องจะคุยกับฉันแน่
"ผมขอคุยกับคุณ" เขากล่าวน้ำเสียงห้วนๆ ฉันเหลียวหลังกลับมามองอย่างรู้แกม "ฉันก็คิดแล้วค่ะว่าคุณต้องตามฉันมา"
"คุณคิดจะมาหลอกอะไรเจ้าจา" ฉันชะงัก ขมวดคิ้วนึกไม่พอใจมาครามครัน มีสิทธิ์อะไรมากล่าวหากัน
"ฉันจะมาหลอกอะไรจากเด็กตัวเท่านั้น...คุณจะมองโลกในแง่ร้ายเกินไปแล้วมั้ง"
"ผมรู้...ใครกันจ้างให้คุณมาตีสนิทกับกิจจา...แล้วก็มีแผนจะ..."
"นี่หยุดเลยนะ" ฉันรีบยกมือขึ้นห้าม ชายหนุ่มหยุดฉับพลันเพ่งมองฉันพินิจ
"กล่าวหาฉันแบบนี้สนุกมากหรือไง ไม่เคยถามฉันเลยเหรอว่าฉันเป็นใครถึงได้ผ่านมา แล้วจะบอกให้นะว่าฉันไม่ต้องการมาแสแสร้งตีสนิทกับน้องคุณเพราะการเงินอะไร จากครอบครัวคุณเหมือนในละครน้ำเน่าหรอกนะ แล้วฉันก็มีงานมีการทำนะไม่ต้องหวังเงินใคร อ้อ!ถ้าไม่เชื่อดูนี่" ยื่นนามบัตรให้ ชายหนุ่มก้มลงมองก่อนจะรับขึ้นมาตรวจดู
"เป็นนักข่าวหรอกหรือ"
"ใช่...เลิกมองฉันในแง่ร้ายซะทีว่าจะมาหวังเงิน ทองคุณ และที่ฉันมาที่นี่ฉันก็มาทำงานด้วย ไม่ได้มาหวังปลอกลอกใคร" ฉันกอดอกจิกตาตอบเขา ชายหนุ่มพ้นความสนใจเลื่อนสายตามองทางอื่น
ว่าแต่....เขาคงเป็นคนละแวกนี้ คงรู้จักเส้นทางได้ดีถ้าถามเรื่องบ้านแสงจันทร์ก็คงจะพอทราบมาบ้างกระมัง
"นี่คุณคะ ฉันมีเรื่องจะถามหน่อยคะ"
เขาเลื่อนสายตามองฉันไม่ใส่ใจนักแต่ก็พยักหน้ารับไม่เสียมารยาท
"คุณรู้จักบ้านแสงจันทร์มั้ยคะ...บ้านหลังใหญ่ที่ใช้ชื่อคล้ายๆชื่อบ้านของคุณ"
"ถามไปทำไม" เขาจ้องสายตามองราวกับจับผิด
"อย่ามองด้วยสายตาแบบนั้นนะ ฉันเปล่าจะมาปลอกลอกคนบ้านนั้นนะ แต่ฉันน่ะกำลังจะติดต่อกับเจ้าของที่นั่น...ฉันจะทำคอลัมน์เรื่องบ้านแสง จันทร์"ชายหนุ่มยิ้มไม่เชิงเยาะ
"บ้านหลังนั้นเค้าคงไม่ต้อนรับคุณนักหรอก" เขาแช่งชักอะไรนักหนา คนมองโลกในแง่ร้าย ฉันพยายามระงับสติเพราะคิดว่าไม่อยากเอาเวลาที่มีค่ามาเสียกับข้อโต้แย้งกับเขา
"ฉันต้องเร่งทำงานจริงๆนะ...ที่ฉันได้มาที่นี่ก็เพราะว่าเรื่องบ้านแสงจันทร์ ถ้าฉันไม่ได้ข่าวกลับไป บก. ต้องต่อว่าฉันแน่ๆเลย"
"นั่นมันเรื่องของคุณ" ฉันชะงักอ้าปากค้าง เขาหันมาตอบด้วยใบหน้าแสนเย็นชา...คนขวางโลก..ฉันวางสีหน้าเรียบกลับมายิ้ม แป้นและวางฟอร์มให้ดีที่สุด
"ไม่เป็นไรค่ะ คุณไม่ยอมบอกอะไร พรุ่งนี้ฉันไปเองก็ได้" ฉันตอกหน้าเข้าให้เหมือนกัน ไม่เห็นต้องง้อ ก่อนจะหันหลังให้ในเมื่อไม่ช่วยก็ไม่อยากยื้อ แต่เขายังไม่จบเท่านี้พูดรั้งท้ายให้อารมณ์ฉันเสียมากยิ่งขึ้นว่า
"ต่อให้ไปถามคนบ้านนั้นเขาก็จะบอกมาเหมือนที่ผมพูดวันนี้ ผมรับรอง" นิ่ง เหลียวกลับ
"ขอบคุณที่กรุณาบอก แต่ฉันไม่ยอมแพ้ง่ายๆหรอกค่ะ" พยักหน้าให้ก่อนจะเดินจ้ำอ้าวออกมา ขืนอยู่ต่อคงต้องประสาทกินไปหลายวัน จากช่วงเวลาแสนสุขแต่จะกลับกลายเป็นช่วงเวลาที่ฉันไม่อยากจะจำไปตลอด ชีวิต...ผู้ชายหน้าแบบนี้จะทำให้ฉันจำไปตลอดกาล นอกจากฝีปากที่ไม่น่าชวนฟังแล้วแต่ยังรวมไปถึงกิริยาเช่นนั้นด้วย
ฉันอยากจะบีบคอผู้ชายคนนั้นเสียจริง ปากคอเลาะร้าย เขาเป็นผู้ชายที่ฉันช่างเกลียดชังนับตั้งแต่เจอในวินาทีแรก...ฉันก็เพิ่งจะ เคยเจอคนแบบนี้ มันช่างน่าโมโหนัก!
ฉันก้มลงขมวดทรายเต็มมือก่อนจะหันกลับไปขว้างออก ไปด้านหลัง แต่ทว่าผงทรายที่ฉันสาดทิ้งนั้นปะทะเข้าใบหน้าของชายคนหนึ่งที่เดินตามฉันมา อย่างจัง เล่นเอาตกใจไม่น้อย
นี่ใครมาเดินตามฉันตั้งแต่เมื่อไรทำไมถึงไม่รู้ตัว
"ว๊าย ตายแล้วขอโทษนะคะ" ฉันรีบยกมือขึ้นไหว้ ชายหนุ่มผิวขาวสูงโย่งออกจะผอมไปนิดยกมือขึ้นขยี้ตา ฉันมองไม่ถนัดรู้แต่เพียงเขาสูงกว่าฉันมาก สวมเสื้อกล้าม กางเกงขายาวที่คอห้อยกล้องติดไว้ด้วย
"เป็นอะไรมั้ยคะ" ฉันก้มๆเงยๆมอง ชายหนุ่มส่ายหน้าปัดเศษทรายออกให้หมด
"ไปโมโหมาจากไหนเนี่ย พิชสินีย์" เขาเรียกชื่อฉันเสียด้วย นี่เขารู้จักชื่อฉันได้อย่างไร
"เอ้...คุณรู้จักชื่อฉันได้ยังไงคะ"ถามขึ้นฉงนใจไม่น้อย ชายหนุ่มลดมือออกจากใบหน้า ส่งรอยยิ้มหวานๆมาให้
"เราต้นไง"
"อ้าวต้น!" ฉันร้องขึ้นตื่นตะนก ไม่คิดว่าจะได้เจอเขาที่นี่ ต้น เป็นเพื่อนของฉันเมื่อสมัยเรียนมหาลัยด้วยกันเขาเป็นลูกชายเจ้าของสวนยางและ เป็นหนุ่มใต้แท้ๆ แต่น่าแปลกที่มีผิวขาวยองใยเป็นปุยนุ่นแถมยังมีผิวเนียนจนสาวๆพากันอิจฉาคง เพราะแม่ของเขาเป็นคนเหนือ จึงทำให้ต้นมีสีผิวทางแม่มากกว่าพ่อ
ชายหนุ่มยิ้มๆให้กับฉันคงเพราะจำฉันได้แต่แรกจึงเดินตามมา
"เห็นนีย์เดินมาแต่ฝั่งนู้นแล้ว เห็นหน้าบูดบึ้งก็เลยไม่กล้าทักเลยได้แต่เดินตาม"
"โอย ก็เลยโดนลูกหลงเข้าให้" ฉันยิ้มแหยๆ เฮ้อ ฉันนี่มันชอบก่อเรื่องเสียจริง ขนาดหนีมาไกลขนาดนี้ก็ยังไม่วายมีเรื่องจนได้
"แล้วไปโมโหมากจากไหนกัน"
"เรื่องมันยาว...อย่าไปใส่ใจเลย"ฉันพยายามจะไม่ ใส่ใจนานแล้วแต่ก็ทำไม่ได้เสียที ชายยังคงยิ้มมองฉันราวกับรู้ความว่าฉันยังไม่หายใจเย็นตามที่กล่าว
"แล้วนีย์ล่ะมาทำอะไรที่นี่"เขาถามพลางกวาดตามองไรผมของเจ้าหล่อนที่ไสวไปตามสายลมก่อนจะกลับมาจับจ้องดวงตาใสพราวที่ประกายวาวกลมสวย
"อ๋อ พอดีฉันมาทำคอลัมน์น่ะ"
"คลอลัมน์เรื่องอะไรหรือ"
"เรื่องบ้านแสงจันทร์น่ะ" ฉันกล่าว ชายหนุ่มนิ่งชะงักเอียงหน้าเล็กน้อย
"บ้านแสงจันทร์งั้นหรือ...นีย์แน่ใจหรือว่าจะ บ้านหลังนั้น"เขาถามหน้าตาดูกังวล ฉันย่นคิ้วมองชาหนุ่มที่ยังฉายความกังวลอย่างเห็นได้ชัด
"ทำไมเหรอ...บ้านหลังนั้นมีอะไร" ชายหนุ่มยังมีทีท่าอึกอักแลมองเจ้าหล่อนเล็กน้อย
"เค้าคงไม่ค่อยต้อนรับเราเท่าไร"
"เหมือนที่ตานั่นบอกเลย"ฉันรำพันพลางนึกถึงตาหล่อขี้เก๊กนั่น คนอะไรหล่อก็จริงเถอะแต่ดุราวกับพวกไม่ต้องรับแขก
"ใครเหรอ"
"อ๋อ คือเมื่อกี้น่ะฉันผ่านไปแถวนู้นมา เจ้าของบ้านสีขาวด้านนู้นน่ะเค้าบอกว่าคนที่บ้านแสงจันทร์ไม่ค่อยจะต้อนรับเท่าไร"
"จริงเหรอ"ต้นเลิกคิ้ว อดขำทีท่าเจ้าหล่อนที่ดูเอาจริงเอาจังคิ้วขมวดชนกันปากก็บ่นพึมพำราวกับแช่ง
"ก็จริง"
"อื่ม แต่นีย์เร่งมากหรือเปล่าล่ะ"
"เร่งๆมาก ถึงมากที่สุดเลยต้น...ฉันจะทำไงดี"
"อืม...เอาแบบนี้ไหม...ให้เราช่วยเธอมั้ยล่ะ"ฉัน คิดไว้แล้วว่าในวันที่เลวร้ายต้องมีอะไรดีบ้าง ต้นเป็นดั่งเทวดามานิมิตรฝัน นี่เขาเอ่ยปากจะช่วยแปลว่าก็พอมีลู่ทางเข้าไปในบ้านหลังนั้นได้
ให้มันได้อย่างนี้สิ อยากจะตอกหน้าอีตานั่นชะมัดว่าฉันกำลังจะได้เข้าไปในบ้านแสงจันทร์แล้ว
ไม่เห็นจะต้องกลัวอะไรเลย...ถ้าทำงานนี้เสร็จเมื่อไรฉันจะเอาผลงานนี้ไปตบนายนี่ซักฉากให้เห็นฝีมือของพิษสินีย์ซักครั้ง
"ต้นสามารถช่วยได้เหรอ"
|