สำนักพิมพ์ ปัณณ์รัก : มอบหัวใจให้คุณ

 
 
 
 
 
Started by Topic:    พราวศวัส (ตอนที่ 1)  (Read: 824 times - Reply: 0 comments)
 
กรรญกร

Posts: 1 topics
Joined: 28/7/2553

พราวศวัส (ตอนที่ 1)
« Thread Started on 4/8/2553 12:43:00 IP : 110.164.202.27 »
 
 

ตอนที่ 1  

                พุทธศักราช 2650...ยุคที่วิวัฒนาการก้าวล้ำไปอย่างรวดเร็วเพียงเสี้ยววินาทีกระพริบตา แต่นั่นหาใช่เพื่อส่งเสริมความนำสมัยให้กับผู้หลงใหลในสุดยอดแห่งเทคโนโลยีไม่ ความอยากกระหายในแฟชั่นสุดนิยมถูกลบเลือนไปหมดสิ้น เพราะทุกชีวิตบนโลกต้องประสบกับฝันร้ายจากมหันตภัยธรรมชาติ 

ที่มนุษย์เอง...เป็นผู้ก่อ 

วิวัฒนาการอันทันสมัยจึงเพียงเพื่อดำรงไว้ซึ่ง ลมหายใจ' แห่งมวลมนุษยชาติเท่านั้น  เมื่อ ภาวะโลกร้อน' ไม่ใช่นิทานหลอกเด็กอีกต่อไป แต่มันกำลังหลอกหลอนผู้คนให้ต้องหวาดกลัวกับทุกย่างก้าวของการดำเนินชีวิต 

จากการโต้เถียงและเกี่ยงความรับผิดชอบกับโลกใบนี้เมื่อ 100 ปีก่อน ส่งผลให้มหันตภัยร้ายคุกคามโลกอย่างหนักหน่วง ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ ในปริมาณมหาศาลที่มนุษย์ปล่อยออกมาสู่ชั้นบรรยากาศ ทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นจนถึงระดับอันตราย ผืนน้ำแข็งบริเวณขั้วโลกเหนือ และธารน้ำแข็งบนภูเขาทั่วโลกทั้งหมดค่อยๆ ละลายลงจนทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นกว่า 20 ฟุต

อวสานแห่งฤดูกาลเกิดขึ้นรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยมีใครคาดคิด ฤดูกาลต่างๆ ตามธรรมชาติได้กลายเป็นเพียงตำนานอันแสนหวานไว้เล่าขานให้ลูกหลานได้ฟัง      

                ภายใต้ภาวะความหวาดกลัวที่แผ่ซ่านไปทั่วทุกหัวระแหง กฎหมายฉบับโลกถูกบัญญัติขึ้นให้ทุกผู้คนปฏิบัติตามเพื่อความอยู่รอดของชีวิต โดยมุ่งเน้นการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้นเป็นหลัก เพื่อทุกชีวิตจะได้กลับมาอยู่อย่างเป็นสุขอีกครั้ง

                ประเทศไทย กระทรวงพิทักษ์สิ่งแวดล้อม เวลา 07.45 น. ของเช้าวันที่ฝนกรดเริ่มอ่อนกำลังลง หลังจากตกหนักมากว่าสองอาทิตย์

            ตี๊ด~~! 

แสงวาบไหวฉายผ่านดวงหน้าเนียนเรียบของหญิงสาวรูปร่างบอบบางในท่วงท่าสง่างาม รวบผมตึงเผยให้เห็นคอระหง แต่งกายด้วยชุดเนื้อผ้าหนาพิเศษรัดรูปตั้งแต่ต้นคอจรดปลายเท้าสีปรอทแซมดำ แถบเส้นสีดำขนาดหนึ่งนิ้วพาดผ่านช่วงแขนตอนบนตั้งแต่ไหล่ทั้งสองข้าง ไล้เรื่อยไปที่ข้อศอกจนถึงข้อมือ มันคือเส้นโลหะชนิดบางฝังแผงไมโครชิฟอัจฉริยะ 

แสงวาบไหวหมดไปพลันก่อตัวรวมร่างเป็นไซเบอร์สาวหน้าตาสดใส

                "ยินดีต้อนรับเจ้าหน้าที่รีนารา NS4 สู่กระทรวงพิทักษ์สิ่งแวดล้อม" 

                "สวัสดีไซแอม ฉันมาเร็วกว่าเวลา อย่าลืมบันทึกให้ด้วยล่ะ" ไซเบอร์สาวยิ้มรับ

                "ได้ค่ะ ระบบได้บันทึกการเข้างานก่อนเวลาของคุณเรียบร้อยแล้ว" พลันย่นคิ้วมุ่นก่อนยื่นหน้าเข้ามาใกล้ "แต่...เอ...วันนี้ NS4 ขอลาหยุดไม่ใช่หรือคะ"

"ก็ยกเลิกให้หน่อยสิ วันนี้มีงานด่วนจริงๆ" ไซเบอร์สาวเลิกคิ้วก่อนเผยยิ้มหวานอย่างรู้กัน

"ได้ค่ะ ไม่มีปัญหา" แล้วถอนใบหน้ากลับคืนเพื่อสลายร่างกลายเป็นประกายแสงที่ค่อยๆ รัดเกรียวเป็นจุดเล็ก พุ่งกลับสู่เซนเซอร์ไซแอม 1 ตำแหน่งทางเข้ากระทรวงฯ ด้านทิศตะวันออก 

                รีนาราอมยิ้มบางขณะก้าวเข้าสู่ห้องกระจกทรงหกเหลี่ยมทางซ้ายมือ เธอยกแขนข้างขวาวาดไปกับอากาศว่างเปล่า 

                ทำทีท่องคาถา

            "โอม~~เพี้ยง!"

เสียงวี๊บยาวเพียงจังหวะวาดวงแขนขานรับสัญญาณมือของเธอปรากฏเป็นเส้นนูนเรืองแสงสีเขียวลักษณะวงกลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 12 นิ้ว

สร้างรอยยิ้มได้ทุกครั้งที่เข้ามาในห้องนี้...เพราะมันดูเหมือนเธอมีเวทย์มนต์

...ก็แค่ดูเหมือน...

รู้ดีว่ามันเกิดจากเทคโนโลยีอันทันสมัยต่างหาก ยุคนี้ยังจะหลงเหลือคนที่เชื่อโลกแห่งมนตราอยู่อีกสักกี่คนเชียว...แต่อย่างน้อยก็เธอคนหนึ่งล่ะ

                "ขอทราบข้อความถึงฉันจากหัวหน้า NS1 และรายงานลักษณะฝนกรดเมื่อคืนตั้งแต่ทุ่มตรงถึงตีห้าด้วย" 

คำขอถูกขานรับอีกครั้งด้วยการเรืองแสงสีเขียวเจิดจ้า เมื่อแสงพร่าตัวลง ชิฟข้อมูลอัจฉริยะขนาดจิ๋วก็ลอยเด่นอยู่กลางลักษณะวงกลมนั้น

                ไม่รอช้า...รีบคว้าลงเสียบกับแถบเส้นโลหะสีดำที่ปลายแขนเสื้อตำแหน่งหลังมืออย่างชำนาญ ทั่วทั้งห้องกระจกทรงหกเหลี่ยมจึงปรากฏสารพัดข้อมูลลอยเด่น เธอกวาดสายตาอ่านอย่างตั้งใจก่อนบันทึกเป็นข้อมูลส่วนตัว แล้วเดินมุ่งหน้ายังห้องปฏิบัติการ 

เมื่อไร้ร่างบาง ทุกอย่างภายในห้องก็พลันวิบวับหายไปราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

                "อ้าว! รัน ไหนว่าจะไปพิพิธภัณฑ์พฤกษาศาสตร์กับครอบครัวไม่ใช่เหรอ แล้วยังไงมาทำงานซะล่ะ" 

‘วินธวา' ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ใบหน้าคมคาย ยิ่งโดดเด่นด้วยผิวขาวสะอาดน่ามองนั่น กระชากใจสาวไปแล้วหลายราย เพื่อนชายร่วมชั้นเรียนภาควิชาประมวลระบบนิเวศน์ของเธอเอ่ยทักอย่างแปลกใจ 

                "มี SMS ด่วนจากหัวหน้า ว่าทางองค์การนูทร่าของอังกฤษขอเลื่อนการส่งภาพวาดสีน้ำมันโบราณ"  รีนาราตอบโดยไม่หยุดก้าวเท้าเร็ว

                "ภาพวาดโบราณที่ถูกขุดพบจากใต้ซากวิหารเก่านั่นน่ะเหรอ"

                "ใช่"

                "แล้วไงล่ะ" เสียงห้วนสั้นทำให้คนหน้าสวยชะงักฝีเท้า ก่อนหันขวับมาขึงตา

"เพราะของน่ะ มาถึงแล้วน่ะสิ"

                "โอ!...ให้ตาย" ชายหนุ่มยกมือตบหน้าผากตัวเองฉาดใหญ่ รีบรั้งคนทำท่าจะจ้ำอ้าวไปโดยไม่รอ

                "เดี๋ยวสิรัน โน่น..น หัวหน้าเธอน่ะ ไปไทยแกรนด์ฮอล์ได้สิบห้านาทีแล้ว" 

            ห้องวัฒนธรรม ไทยแกรนด์ฮอล์'

                "รีนารา NS4 ค่ะหัวหน้า"

                "เข้ามาได้ กำลังรออยู่เชียว" 

คำอนุญาตของชายสูงวัยร่างท้วมขาวทำให้เส้นม่านเลเซอร์สีทับทิมนับสิบผึงออกจากกัน สัดส่วนที่เห็นขนาดเท่ากับรูปร่างของหญิงสาว เส้นแสงนั้นกลับคืนรูปดั่งเดิมเมื่อเธอเคลื่อนตัวผ่านเข้าไป ส่งผลให้วินธวาต้องรีบชะงักสุดตัว เฉียดฉิวแค่ปลายจมูก

                "วินธวา OS3 ครับหัวหน้า" ชายสูงวัยย่นคิ้วมอง

                "แผนกวัฒนธรรมของเรานี่ดีนะ มักได้รับความร่วมมือจากแผนกแจ้งเตือนภัยพิบัติอยู่เป็นประจำ เอ้า! เข้ามา เข้ามา" ในใจอดชื่นชมไม่ได้กับความเพียรพยายามของคนหนุ่ม ก็นานเท่าไหร่แล้วหนอ...ที่นายคนนี้เฝ้าตามติดลูกน้องสาวสวยคนเก่งของเขาราวกับเงาตามตัว 

รีนารามองเพื่อนชายอย่างนึกระอา พอออกเวรประจำการทีไร พ่อเป็นต้องมาคลุกอยู่แผนกของเธอร่ำไป เคยพูดประชดว่าให้ขอย้ายมาประจำการด้วยกันให้รู้แล้วรู้รอดไป กลับได้รับคำตอบว่า

ไม่ได้อยากอยู่แผนกนี้สักหน่อย แต่อยากอยู่ที่ที่รันอยู่ต่างหาก'

เฮ้อ!...ฟังแล้วอยากบ้า

แต่จนแล้วจนรอดก็ต้อง ‘ใจอ่อน' เอ...หรือว่า ‘อ่อนใจ' กันหนอ

ก็เพื่อนทั้งคนนี่นะ

                หุ่นยนต์โรบอทจากองค์การนูทร่าจำนวนสี่นาย กำลังลำเลียงภาพที่ถูกปิดผนึกแน่นหนาอย่างระมัดระวัง ก่อนรายงานความเรียบร้อยเป็นภาษาอังกฤษน่าฟัง

                "ข้อมูลความครบถ้วนของจำนวนภาพ เท่ากับ 3 ภาพ...ถูกต้อง ข้อมูลความเสียหายจากเครื่องสแกน...ไม่มี เรียบร้อยแล้วครับ" เมื่อปฏิบัติหน้าที่เสร็จสิ้น เครื่องจักรสมองกลอัจฉริยะทั้งสี่ก็พากันทยอยออกไป ทิ้งไว้แต่ความทึ่งให้ ‘คน' ที่มีลมหายใจเลือดเนื้อ

                "เฮ้อ! เขานำสมัยกว่าเราเยอะนะ ควบคุมการขนส่งทั้งหมดด้วยหุ่นยนต์โรบอทอันทรงประสิทธิภาพ ส่วนไอ้ของเรารึก็กำลังอยู่ระหว่างพัฒนาระบบสมองกล คาดว่าจะได้ใช้งานจริงคงไม่ต่ำกว่า 5 ปี" น้ำเสียงชายสูงวัยออกประชดประชันอยู่ในที คนหนุ่มเลยได้แต่ยักไหล่

"แหม! ของมันชัวร์อยู่แล้วครับหัวหน้า โรบอทไม่กลัวฝนกรด และไม่กลัวรังสีอัลตราไวโอเล็ทด้วย"

ทุกคนต่างตระหนักกันดีอยู่แล้วว่าสภาพแวดล้อมภายนอกสิ่งปลูกสร้างพิเศษนี้ดูจะไม่เป็นมิตรกับเนื้อหนังอ่อนบางของมนุษย์เราเอาเสียเลย

รีนาราวาดค้อนใส่เพื่อนชายอย่างหมั่นไส้ 

ดูเอาเถอะ...อิจฉากัดจิกแม้กระทั่งหุ่นยนต์

                ราว 5 นาทีผ่านไป ระบบพิเศษของวัสดุห่อของก็เริ่มทำงาน มันค่อยๆ สลายตัวเองเป็นประกายสีแดงเหลือบส้มทีละน้อยจนปรากฏเป็นภาพน่าตื่นตาตื่นใจสำหรับทุกสายตา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รีนารา เธอมักฝันเห็นภาพสัตว์ในตำนานพวกนี้อยู่บ่อยๆ จนอยากให้พวกมันมีตัวตนจริงโลดแล่นอยู่บนโลกใบนี้ มากกว่าจะเป็นเพียงแค่ตำนานเล่าขานจากคุณยายและในหนังสือนิทานเท่านั้น 

                "ฟินิกส์มรกต มังกรสีคราม ยูนิคอร์นดำ วินดูสิ สวยได้ใจมากเลย" เธอปรี่ดูภาพโน้นภาพนี้ด้วยอาการดี๊ด๊าเปิดเผย จนหัวหน้า NS1 อดค่อนแคะไม่ได้

                "โรคชอบสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงของ NS4 กำเริบอีกแล้วสิ" สุดท้ายต้องส่ายหน้าอย่างคนปลงตกด้วยรู้นิสัย "ทีมติดตั้งกำลังมานะ ยังไงก็ฝากดูแลด้วย แล้วช่วงเย็นฉันจะมาดูความเรียบร้อยอีกที" 

                เงียบ!

วินธวาเหล่แม่ตัวดีแวบหนึ่งก่อนรับคำสั่งนั้นแทนคนที่ไม่สนใจฟังเสียงของหัวหน้าตัวเองสักนิด

ยัยบ๊องเอ้ย!

            โซน หมวดแสดงภาพสัตว์ในตำนาน' เวลา 13.55 น.

รีนารากำลังง่วนกับการติดตั้งภาพวาดสีน้ำมันโบราณอย่างใส่ใจทุกขั้นตอน

"ยังไม่ได้ตำแหน่งเลย เอียงขวานิด โอเค...นั่นล่ะ" สองมือยังคงชี้โน่นนี่กำกับ

                "เบาๆ มือกันหน่อยนะ แม้แต่รอยขีดข่วนเล็กๆ ก็อย่าให้มีเชียว...xxx" วินธวามอง ‘คนช่างสั่ง' อย่างอารมณ์ดี

เขามีความสุขที่ได้อยู่ใกล้ๆ คอยพูดคุยและให้กำลังใจ ไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นตอนไหน หรือว่านานเท่าไหร่แล้ว...ที่สายตาของเขามีแค่เพียง เธอ'  

                "โอเคไหมวิน" เสียงร้องขอความเห็นเรียกชายหนุ่มออกจากภวังค์ความคิด

                "ฮึ!...ฮืม โอเคแล้ว" ทำทีพยักพเยิดทั้งที่ยังไม่ได้ดูด้วยซ้ำ เจ้าของคนหน้าสวยทำคิ้วยุ่ง

                "ใจลอยเชียว คิดอะไรอยู่เหรอ" ตัวต้นเหตุช่างเข้าใจติง

                "คิดถึงรันนั่นล่ะ"

                "แน่ใจ๊ อย่าโกหกน่า"

                "แล้วอยู่กันแค่นี้ จะให้ฉันไปคิดถึงใครเล่า" เขาตัดพ้อเสียงอ่อน

                "พูดดีอีกแล้วนะนาย...เอ...วิน อย่างนี้ต้องให้รางวัล" เธอหยิกหมับให้เขาได้ร้องเสียงหลง "อูย~~เจ็บนา รางวัลอะไรของเธอเนี่ย มือหนักอย่างกับคีม" มือหนาลูบรอยแดงไปมาให้คลายเจ็บ ก่อนดีดตัวออกห่างจากเจ้าหล่อนไปพึ่งใบบุญภาพที่เพิ่งติดตั้งเสร็จ เพราะแม่เจ้าประคุณคงไม่กล้ามาวีนแตกใส่ตนให้ข้าวของเสียหาย

                นี่แหละข้อดีข้อแรกของ ‘ภาพสัตว์ประหลาด' ในความคิดของเขา 

                "ว่าแต่...ดูแปลกๆ เนอะ" วินธวาท้วงหลังจากได้พิจารณาในระยะใกล้ รีนาราถึงกับหูผึ่ง ‘คำถามโดนใจ'

                "แปลกตรงไหนเหรอ" เพราะเธอเองก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกันเพียงแต่ไม่ได้พูดออกไป อีกฝ่ายหรี่ตามองอย่างเสียไม่ได้

                "รันนั่นล่ะน่าจะรู้ดี ปกติฟินิกส์เป็นนกไฟไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงเป็นสีมรกต" หน้าคมเบือนไปทางภาพที่กำลังติดตั้ง "มังกรก็เหมือนกัน น่าจะเป็นมังกรทองเหลือบแดงหรือสีดำตามตำนานจีนโบราณ กลับเป็นมังกรสีคราม ฮึ! ไม่เคยเห็น แล้วยูนิคอร์นก็อีก อันนี้ยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่ ยูนิคอร์นดำ...บอกตรงๆ นะ ‘ไม่ใช่' เลย ที่สำคัญแววตาพวกมันดูหม่นหมองชอบกล ไม่น่าเกรงขามอย่างที่ควรจะเป็น ทั้งๆ ที่ต่างก็เป็นสัตว์ในตำนานที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน" รีนาราถึงกับอึ้ง ทึ่งกับการเก็บรายละเอียดแบบครบถ้วนอย่างไม่ขาดตกบกพร่องของเขา

                "วินสนใจเรื่องพวกนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เมื่อก่อนไม่เห็นเคยอยากรู้ ไม่แม้แต่อยากจะดูรูปด้วยซ้ำ" ทำชายหนุ่มสะดุ้งเฮือก เผลอตัวพูดให้ถูกจับได้คาหนังคาเขา

ใช่! เขายอมรับ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังยืนยันได้ว่า...พวกสัตว์ในตำนานโบราณหรือในหนังสือนิทานที่เด็กๆ ชอบอ่าน ยังคงเป็นเรื่องไม่น่าสนใจสำหรับเขาอยู่ดี แต่ที่ศึกษาข้อมูลอยู่ตลอดโดยไม่บอกให้ใครรู้...ก็เพราะมันเป็นเรื่องที่เธอสนใจ

                แต่ก็นั่นล่ะ...ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไปละกัน

                "เพิ่งรู้นะว่าเขาสงวนสิทธิ์เรื่องพวกนี้ไว้ให้เธอคนเดียว" รีนาราเบะปาก

                "ไม่ต้องทำมาเป็นกลบเกลื่อน เห็นเงียบๆ เนี่ยนะซุ่มคมร้ายนัก แอบอ่านซะหยั่งรู้ปานนี้ยังไม่ยอมรับอีก กลัวเสียฟอร์มล่ะซิที่เคยว่าฉันว่าสนใจแต่เรื่องไร้สาระ เอาน่า...ไม่ว่ากันหรอก นักวิชาการมากความรู้อย่างนายจะสนใจเรื่องตำนานโบราณบ้างก็ไม่เห็นจะเสียหาย จริงไหม" วินธวาทำหน้าเหมือนถูกกรอกยาพิษ

                รีนาราเห็นแล้วต้องกลั้นขำสุดฤทธิ์ แน่นอน...เธออาจทำเขาเสียหน้า เสียฟอร์ม หรือบางทีอาจรวมถึงเสียอารมณ์ด้วย

                "มาว่าเรื่องความแปลกต่อดีกว่านะ" เริ่มง้อ

"ไม่รู้ว่าอยู่ในอารมณ์ไหนเนอะ ถึงได้ถ่ายทอดออกมาแบบนี้ เอ...แล้วใครเป็นคนวาดกันหนอ" เจ้าหล่อนลอบชำเลืองมองคนที่ไม่รู้ว่าแกล้ง ‘เสีย' อะไรกันแน่ ถึงได้หน้าหักสนิทชนิดงัดไม่ขึ้นแบบนั้น ก่อนตวัดตามองมุมล่างด้านขวาของภาพ ซึ่งส่วนใหญ่ผู้วาดมักจะลงชื่อฝากนามตัวเองไว้แถวนั้น

นิ้วเรียวไล่เรียงตามตัวอักษรภาษาอังกฤษสีจางๆ ที่ลางเลือนไปบางส่วนแต่ยังพออ่านได้

                "S I A M" สะกดทีละตัวอักษรก่อนหันขวับ

                "ไซแอมน่ะวิน" แล้วหันกลับไปดูรายละเอียดเพิ่มเติม

"ไม่เห็นลงวันที่ไว้เลย"

"ไหนดูสิ" รีนาราเผยยิ้มเมื่อเรียกความสนใจของชายหนุ่มกลับมาได้ และไม่รอให้ความเงียบได้ทำหน้าที่

"เขาชื่อไซแอม"

"อาจจะไม่ใช่ไซแอมก็ได้"

"ยังไง"

                "ก็อ่านให้มันเป็นไทยๆ หน่อยสิ ‘สยาม' น่ะ แม่คนหัวนอก"

แน่ะ! มีเหน็บเล็กๆ

                "โอโห้! สยาม ชื่อโบราณจัง" เธอหยอกกลับ

"ถ้าชื่อ ‘สยาม' คนวาดก็ต้องเป็นผู้ชาย และชื่อราวๆ นี้ก็...น่าจะสมัยเมื่อเกือบร้อยปีที่แล้ว ได้ไหมวิน" ใบหน้าได้รูปของคนกำลังใช้ความคิดนี่ก็น่ามองไปอีกแบบ ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก

                "คงประมาณนั้น หรือบางทีก็อาจจะไม่ใช่ชื่อคนวาด" คนฟังเบิกตากว้างลุ้นเฉลย

                "อาจจะหมายถึง ‘สยาม' ที่คนสมัยก่อนโน้นใช้เรียกประเทศไทยไงเล่า" เจ้าหล่อนดีดนิ้วเปาะราวกระจ่างแจ้ง

                "ฮืม! ใช่ ต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ เลย แหม! นายนี่เฉียบขาดจริงๆ สมแล้วที่เรียนได้เอทุกวิชา ถึงว่าล่ะพอองค์การนูทร่าเจอภาพพวกนี้ก็รีบส่งมาให้เราเลย" วินธวาได้แต่ถอนหายใจบางเบาที่แม่เจ้าประคุณรีบสรุปความเอาง่ายๆ เสียงั้น

ทว่าส่วนลึกข้างในแอบภูมิใจไม่น้อยกับการที่เธอยอมรับฟังทุกคำพูดของเขามาตลอด

แต่ทำไม๊...กับบางเรื่อง เธอช่างเข้าใจยาก

ไม่รู้หรือว่าที่ถากถางกันเรื่องเขาแอบไปศึกษาสัตว์ในตำนานโบราณเมื่อครู่ ก็เพราะเจ้าหล่อนนั่นล่ะ...คือจุดเริ่มต้น

"เลยไม่รู้กันว่าใครเป็นคนวาด วาดตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วทำไมวาดออกมาแบบนี้ ได้แต่เดา ไอ้ที่เดาก็ไม่รู้ถูกหรือเปล่า" รีนาราบ่นเหมือนเด็กถูกขัดใจ วินธวาเลยได้ทีแนะเด็กเสียเลย

"ไอ้สองข้อแรกน่ะจนปัญญา แต่ประการสุดท้ายน่าจะเกิดจากจินตนาการ"

"หรือไม่ก็ประสบการณ์จริง" เธอเสริมต่ออย่างมาดมั่น แต่เขารีบค้านสุดตัว

"เป็นไปไม่ได้"

เอ๊ะ!

"เป็นไปได้ เพราะนี่คือการสันนิษฐาน ไม่ว่าจินตนาการ ความฝัน หรือความจริง ย่อมมีความเป็นไปได้เท่ากัน อย่าว่าแต่เรื่องใช้สีแปลกตาเลย ต่อให้วาดมังกรแยกเขี้ยว ฟินิกส์แลบลิ้น หรือว่ายูนิคอร์นเต้นระบำก็ย่อมทำได้ และถ้าฉันเดาไม่ผิด ภาพที่ออกมาพวกนี้ต้องวาดตอนกำลังเศร้า" เธอเถียงฉอดๆ ให้เขาแทบเสียศูนย์ทางการฟัง

                "อ่ะ อ่ะ โอเคตามนั้น" แม้จะยอมยกธงแต่โดยดีเพราะเห็นแก่หัวใจตัวเอง แต่ขอขัดสักนิดเถอะ ไม่อย่างนั้นเจ้าหล่อนจะ ‘เคยตัว'

"แต่ไอ้อย่างหลังน่ะไม่น่าจะใช่นะ เพราะคนกำลังเศร้าจะเอาสมาธิที่ไหนมาวาดรูปกันเล่า" เจ้าหล่อนคลายหน้ามุ่ย

"ลืมไป วิชาศิลป์วัฒนธรรม นายก็ได้ท้อปนี่นา เออ! แล้วไหนว่าจะเอารูปวาดของฉันมาให้ดูไงล่ะ ยังแก้ไม่เสร็จอีกเหรอ มันนานเป็นปีได้แล้วมั้ง" วินธวาถอนหายใจเฮือกยาว

ไอ้บทจะเปลี่ยนเรื่องกะทันหันเนี่ย ไม่มีใครเกินแม่คุณจริงๆ

ว่าแต่...ตัวเขาเองก็ยังงงไม่หายกับเรื่องนี้ เพราะเมื่อสองปีก่อนเพื่อนสาวนำภาพวาดลักษณะหน้าตรง ผมดำขลับถูกปล่อยยาวสลวยเคลียบ่า ดวงตาสีน้ำทะเลเป็นประกายน่ามองรับกับรอยยิ้มหวานละมุนมาเป็นของขวัญวันเกิดเขา แต่พออีกสองวันต่อมาเมื่อเขาต้องการอวดเธอว่าเขานำภาพนั้นติดไว้ในห้องนอน

เพราะการติดภาพไว้ใกล้หัวเตียง นั่นหมายความว่าของสิ่งนั้น...สำคัญและมีค่าสำหรับผู้รับมากแค่ไหน 

แต่เจ้าหล่อนสิ เกิดชอบอกชอบใจอะไรนักหนาอย่างกับไม่ได้วาดเอง แล้วยังจะทำเป็นขอเอาไปเฉย แถมไอ้คำต่อว่าที่ฟังแล้วทะแม่งๆ จนอดแปลกใจไม่ได้ 

"ฝีมือไม่เคยตกเลยนะ แต่ว่าไม่ต้องเปลี่ยนลุคให้ฉันใหม่ด้วยการเปลี่ยนสีดวงตาหรอก"

"อ้าว! ก็รันเป็นคนวาด..." ฟังยังไม่ทันจบดีเจ้าหล่อนก็รีบสวนฉับ

"แกะออกมาเลยมา เดี๋ยวฉันจะเอาไปแก้" แค่นั้นยังไม่พอปรี่ถลาเข้าหาผนังจนเขาต้องรีบเอาตัวเข้าขวาง

"ทำไมต้องขอคืนด้วยล่ะ"

"ขอคืนที่ไหน จะเอาไปแก้ต่างหาก เร็วเข้าแกะมา"

"ไม่ต้องหรอกมันแค่นิดเดียวเอง ฉันเองก็ไม่ได้ติดใจอะไร เอางี้ละกันเดี๋ยววินแก้เอง พอแก้เสร็จแล้วจะให้รันดูอีกที โอเคไหม" คนฟังยังลังเลให้อีกฝ่ายออกปากต่อว่า

"ก็แล้วจะยกมายกไปทำไมเล่า...เสียเวลา"

"ก็ได้" ตอนนั้นเจ้าหล่อนรับคำแบบงงๆ ทำเอาเขาเหนื่อยใจไม่น้อย

                ก็ตัวเองเป็นคนวาดภาพนั้นแท้ๆ กลับมาตะขิดตะขวงใจเอาตรงสีดวงตา คนเรานี่ก็แปลก...สงสัยจะเพี้ยน

               

จนแล้วจนรอด...เขาก็ต้องทอดถอนใจเหมือนทุกครั้ง

                จนแล้วจนรอด...เขาก็ต้องใช้คำพูดเดิมๆ เหมือนทุกครั้ง

                "ถ้าไม่ลืม พรุ่งนี้จะเอามาให้ดู"

แต่ก็นั่นล่ะ...จำเป็นต้องลืมเหมือนทุกครั้งเช่นกัน 

                ปี๊บๆ...ปี๊บๆ เสียงนี้ทำให้วินธวารีบยกข้อมือขวาขึ้นมอง 

"ทามเมอร์อะราวเตือนเหตุฉุกเฉินด่วน ต้องไปดูซะหน่อยละ ไว้ค่อยเจอกันนะรัน" ชายหนุ่มเผยสีหน้าเครียดอย่างเห็นได้ชัด 

รีนารามองตามหลังร่างสูงไปอย่างเข้าใจ รู้ดีว่าเพื่อนของเธอคนนี้รักงานแจ้งเตือนภัยพิบัติเป็นชีวิตจิตใจ

นี่ขนาดออกเวรประจำการแล้วแท้ๆ ยังจะกลับไปห้องปฏิบัติการอีก 

                ว่าแต่ว่า...คราวนี้เกิดเหตุพิบัติภัยธรรมชาติที่ไหนอีกล่ะ ช่วงนี้ถี่ขึ้นเรื่อยๆ จนน่ากลัว ไล่ตั้งแต่แผ่นดินไหวมากกว่าเจ็ดริกเตอร์จนทำให้แผ่นดินทรุดตัวเป็นแถบๆ ไม่อย่างนั้นก็ฝนกรดตกแบบไม่หยุดหย่อน พออ่อนกำลังลงแต่ยังไม่ทันจะหยุดดี แดดกล้าที่เต็มไปด้วยรังสีอัลตราไวโอเล็ทก็แผดฉายไม่ปราณี จนบางพื้นที่เกิดไฟไหม้ป่าอย่างหนัก และตามชายฝั่งทะเลก็ต้องผวากับคลื่นยักษ์ 

...คงจะใกล้ถึงเวลาดับสูญของมวลมนุษยชาติแล้วกระมัง 

รีนาราถอนใจเฮือกก่อนหันมามองภาพวาดอย่างนึกเสียดาย

คนคุยกันรู้เรื่องก็ไม่อยู่ซะแล้ว อดคุยเรื่องความแปลกต่อเลย

พลันสะดุดโหยงเมื่อไหล่บางถูกสัมผัส 

                "แหม! ห่างกันไม่ได้เลยนะ นายวินเพิ่งออกไปไม่ถึงหนึ่งนาทีก็เหม่อซะแล้วนะยัยรัน ไม่เอากาวทาไว้ซะเลยล่ะ จะได้ไม่ต้องแยกจากกัน" 

เสียงกระแนะกระแหนแหลมดังเป็นอันตรายต่อแก้วหู หนึ่งในพิบัติภัยธรรมชาติจาก ‘แนน' เพื่อนสาวร่วมแผนกที่ปากร้ายแต่ใจดีนี่เอง รีนาราหยิกหมับเข้าที่แขนคนมาใหม่ชนิดเนื้อแทบหลุดติดเล็บมาด้วย

                "เจ็บนะยัยรัน มือหนักอย่างหิน พูดนิดเดียวเล่นซะแรงเชียว" ยังไม่วายโวยเสียงแหลมพลางลูบแขนตัวเองยิกๆ

                "ก็ถ้าเธอขืนพูดมากกว่านี้ ฉันก็เอาเธอตายล่ะ"

                "ไม่แซวแล้วก็ได้ ติดตั้งภาพเสร็จหรือยังล่ะ หัวหน้าจะมาตรวจงานแล้วนะ" 

                "เสร็จตั้งแต่ปีมะโว้ละ" รีนาราตอบเสียงห้วนให้คนฟังได้เหล่ทันควัน

ปีไหนล่ะ ปีมะโว้น่ะ นอกจากจะหยิกได้เจ็บถึงใจแล้ว ยังจะโม้อีก...ปีโม้มากกว่ามั้ง   

            เวลา 18.00 น.

                หลังจากหัวหน้า NS1 มาตรวจความเรียบร้อยการติดตั้งภาพทั้งสามแล้ว แนนจึงชวนรีนาราไปกินข้าวเย็นที่ห้องอาหารชั้นบน

                "โอเค แต่เดี๋ยวนะ จะชวนวินไปด้วย"

นั่นไง! แล้วจะไม่ให้ล้อไม่ให้แซวได้ไง ติดกันเป็นปาทั้งโก้ทอด แน่ะ! อายุยืนเชียว

                "ไม่ต้องแล้วยัยรัน นายวินเดินมาโน่นละ แหม! เหมือนรู้ ติดต่อกันทางกระแสจิตหรือไงจ๊ะสองคนเนี้ย" รีนาราไม่สนใจคนแซว สนใจคนมาใหม่มากกว่า

                "วิน ฉันกำลังจะตามนายมากินข้าวเย็นด้วยกัน" คนยิ้มแฉล้มค่อยๆ หุบลงเมื่ออีกฝ่ายดูนิ่งเฉยจนผิดสังเกต

                "เป็นอะไรเหรอ" ยิ่งเห็นเขานิ่งเงียบเธอยิ่งห่วง 

ต้องมีอะไรหนักหนาแน่ๆ

                แนนชะโงกหน้ามาสมทบ "นั่นสิ แข็งทื่อเหมือนผีดิบเลย"

                ชายหนุ่มหลบสายตาคนทั้งสองแวบหนึ่งเพื่อชั่งใจ แม้เขาจะพยายามซ่อนเร้นความรู้สึกไว้เพื่อให้ตัวเองดูเป็นปกติ แต่มีหรือจะปิดมิด

"รัน วันนี้ได้คุยกับคนที่บ้านบ้างหรือยัง" คำถามทำให้รีนารากระตุกหัวคิ้วหมับ เพราะหากเป็นคนที่เพิ่งรู้จักกันคงไม่คิดอะไร แต่นี่คือเพื่อนรักเพื่อนสนิทที่คบหามานาน มองปราดเดียวก็รู้...

...แววสะท้อนเศร้าในสายตา 

                "ยัง ทำไมเหรอ" น่าแปลกที่รู้สึกใจหายขึ้นมากะทันหัน

                "วิน บอกฉันสิ มันเกิดอะไรขึ้น" 

                "ใจเย็นรัน คนอื่นมองใหญ่แล้ว นายวินก็เหมือนกัน มีอะไรก็บอกไปสิ" แนนชักทนไม่ไหวกับภาวะกดดันเช่นนี้

วินธวาถอนใจยาวก่อนโผเข้ากอดรีนาราอย่างปลอบขวัญ 

                "ฟังฉันนะรัน เกิดแผ่นดินทรุดตัวเป็นหลุมกว้างและลึกมากที่ถนนหมายเลข 27 ใกล้กับพิพิธภัณฑ์พฤกษาศาสตร์" เขากระชับอ้อมแขนคล้ายเตือนคนในอ้อมกอดให้เตรียมตัวเตรียมใจกับถ้อยคำต่อไป

รีนาราตัวชาวาบกับลางร้ายบางอย่างที่แล่นปราดเข้ามา

แต่...ขออย่าให้เป็นอย่างนั้น...อย่าเลย 

            "รถแวนของครอบครัวรัน...ไม่มีใครรอดชีวิตเลย"  

                สองอาทิตย์ต่อมา ในวันที่เกร็ดสีขาวของหิมะเริ่มโรยตัว เฉกเช่นประเทศที่มีอากาศหนาวเย็น นั่นถือเป็นประวัติการณ์ของประเทศไทยก็ว่าได้ 

หิมะเกร็ดขาวเริ่มตกเป็นครั้งแรกในประเทศไทยช่วงกลางปีพุทธศักราช 2620 ถึงแม้จะตกปีละครั้ง แต่ทุกครั้งยังคงสร้างความตื่นเต้นประหลาดตาได้ไม่แพ้ครั้งแรก

                ถนนหมายเลข 27 ใกล้กับพิพิธภัณฑ์พฤกษาศาสตร์ ร่างบางในชุดเสื้อโค้ทยาวสีดำยังคงยืนนิ่งนานนับชั่วโมง ดวงตาบวมช้ำจากการร้องไห้ติดต่อกันหลายวันทำให้ถูกซ่อนเร้นไว้ภายในแว่นกันแดดสีดำอันโต

                "รัน" เจ้าของชื่อแค่หันมอง เป็นการบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่า ‘ได้ยินแล้ว' แค่นั้นก็เบือนกลับ

                "ทำไมทุกคนต้องทิ้งฉันไว้คนเดียวล่ะวิน ทั้งคุณยาย พ่อกับแม่ ทั้งลุง แล้วก็พี่ริน ทำไมต้องทิ้งกันไปหมด" เสียงทอดอาลัยสั่นเครือ เพียงอึดใจหยาดน้ำตาก็ไหลนองสองแก้ม

                "ไม่นะรัน ไม่ใช่ว่าเธอจะไม่เหลือใคร เธอยังมีฉันไง" คนซึมเศร้าคล้ายไม่รับฟังสิ่งใด

                "ถ้าวันนั้นฉันไปกับพวกเขา ป่านนี้ฉันคงตายไปพร้อมกับทุกคนแล้ว ทำไมล่ะวิน ทำไมฉันไม่ไปกับพวกเขา...ทำไม!" รีนาราสะอื้นคร่ำครวญหนักจนวินธวาต้องโผเข้าปลอบ เขาเองก็โศกเศร้าไม่แพ้กัน

คนที่รักเจ็บช้ำ เขายิ่งเจ็บกว่า 

"เข้มแข็งนะรัน ยังไงมันก็ผ่านไปแล้ว อย่าอ่อนแอ พวกเขาจะเป็นกังวลเปล่าๆ สัญญานะรัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ขอให้เธอนึกถึงฉันเป็นคนแรก...ได้ไหม" 

"วิน" เป็นเสียงสุดท้ายจากปากหญิงสาวก่อนปลดปล่อยความทุกข์โศกออกมาพร้อมกับน้ำตา 

วินธวารู้ดีว่าเหตุการณ์นี้สร้างความสะเทือนใจให้รีนารามากแค่ไหน เป็นใครก็คงแทบขาดใจ ช่วงอาทิตย์แรกเขาไม่ยอมให้เธอห่างสายตาสักนาทีเดียว เพราะกลัวใจคนบอบช้ำจะคิดอะไรสั้นๆ หรือไม่ทันได้คิดเสียด้วยซ้ำ 

หนึ่งเดือนผ่านไป กระทรวงพิทักษ์สิ่งแวดล้อม แผนกวัฒนธรรม เวลา 07.49 น.

"สวัสดีจ๊ะรัน หน้าตาสดชื่นขึ้นนะ อ่ะ!" แนนเอ่ยทักทายเมื่อเห็นเพื่อนสาวก้าวขาไวๆ เข้ามา พร้อมยื่นแผ่นโปสการ์ดรูปโบสถ์หลังเล็กๆ ท่ามกลางแมกไม้เขียวขจีให้

"ของฉันเหรอ" รีนาราทำหน้าสงสัย ก็นานแล้วที่ไม่ได้เห็นการติดต่อระหว่างกันแบบนี้

"ใช่ การ์ดแสดงความเสียใจ จากสถานเลี้ยงเด็กบ้านหทัยสวรรค์น่ะ" แนนตอบพลางหย่อนตัวลงนั่งกับเก้าอี้ตัวเก่ง ทิ้งให้อีกฝ่ายยืนพิศวงกับแผ่นกระดาษในมือ

ว่าแต่...รูปโบสถ์นี่ก็สวยดีเหมือนกัน

ลองพลิกดูด้านหลังปรากฏข้อความสั้นๆ ว่า ‘ขอแสดงความเสียใจกับการจากไปของ ‘ประกายรุ้ง' ผู้น่ารักแห่งบ้านหทัยสวรรค์' 

"คุณยาย" รีนาราพึมพำ ครุ่นคิด

แม่ของเธอเคยเล่าว่าคุณยายเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกทิ้งไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ใกล้ทางเข้าโบสถ์

รู้สึกสะท้อนใจกับเรื่องราวของคนในครอบครัวที่ผูกพันรักใคร่แผ้วผ่านความคิด พวกเขาไม่มีวันกลับมาหาเธออีกแล้ว 

ถึงแม้ใครต่อใครจะชอบพูดถึงความประหลาดทางพันธุกรรมอันน่าทึ่งของครอบครัวเธอก็ตาม เพราะคุณยายมีลูกแฝดเป็นคู่ชายหญิง คือลุงสุวัฒน์กับแม่ และพอแม่แต่งงานกับพ่อก็มีลูกแฝดเป็นคู่ผู้หญิง นั่นคือเธอกับพี่ริน 

นี่ถ้าหากลุงสุวัฒน์ไม่ครองตัวเป็นโสด ยังสงสัยอยู่ว่าลูกของลุงน่าจะเป็นฝาแฝดด้วยเหมือนกัน

ใครจะท้วงว่าแปลกยังไง เธอไม่เคยสน!   

หญิงสาวอดอมยิ้มไม่ได้เมื่อนึกถึงลุงที่แสนใจดี เพราะลุงไม่มีครอบครัวเลยใช้ชีวิตทั้งหมดขลุกอยู่แต่กับหลานฝาแฝดจอมซน

รอยยิ้มบางที่มุมปากค่อยๆ เลือนหายไปเมื่อนึกถึงพ่อกับแม่ที่เฝ้าทะนุถนอมเลี้ยงดูให้ความอบอุ่นตั้งแต่เล็ก ‘รินนรี' พี่สาวฝาแฝดที่เกิดก่อนเธอไม่ถึงห้านาที ตอนนี้ทุกอย่างมันกลายเป็นความหลังแสนหวานให้คนที่ยังอยู่ได้จดจำไปแสนนาน

ด้านหน้าโบสถ์ สถานเลี้ยงเด็กบ้านหทัยสวรรค์ รีนารารู้สึกประทับใจสถานที่จากแผ่นโปสการ์ดที่ถูกส่งมาจนคิดว่าต้องมาเยือนที่นี่ให้ได้สักครั้ง อีกทั้งจะมาขอบคุณบ้านหทัยสวรรค์ที่ยังไม่ลืมคุณยายของเธอ 

รีนาราสงบนิ่งเพื่อไว้อาลัยให้กับคนที่จากไปก่อนเงยหน้าเนียนสวยขึ้นมอง แต่ก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อปรากฏเมฆดำทมิฬมหึมาน่าสะพรึงกลัว มังกรสีครามดวงตาแดงเพลิงค่อยๆ โผล่มาผงาดเด่นท่ามกลางเมฆดำทมิฬนั้น 

หญิงสาวหวีดร้องสุดเสียง ออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตแต่เบื้องหน้ากลับปรากฏนกฟินิกส์สีเขียวมรกตตัวใหญ่กำลังกางปีกมรกตแก้วใส่ ตาเบิกกว้างตะลึงงันถึงกับอ่อนแรงจนทรุดตัวลงกับพื้น ใจเต้นไม่เป็นส่ำ ตะเกียกตะกายหนีจนแผ่นหลังชนเข้ากับอะไรบางอย่าง เสียงหวีดร้องดังขึ้นอีกครั้งเมื่อยูนิคอร์นสีดำตัวใหญ่กำลังจะเอาเขาปลายแหลมพุ่งเข้าใส่

"กรี๊ด..ด...ด!"

 
Link to Post    -Back to Top

Bookmark and Share

กรุณาเข้าสู่ระบบหรือสมัครสมาชิกก่อนโพสข้อความค่ะ
»
คลิ๊กที่นี่
Advertising Zone    Close
 
 
 
 
 
 
Online:  2
Visits:  57,706
Today:  9
PageView/Month:  56

ยังไม่ได้ลงทะเบียน

เว็บไซต์นี้ยังไม่ได้ลงทะเบียนยืนยันการเป็นเจ้าของเว็บไซต์กับ Siam2Web.com