สำนักพิมพ์ ปัณณ์รัก : มอบหัวใจให้คุณ

 
 
 
 
 
Started by Topic:    บุพเพคะเนสรร (ตอน 2)  (Read: 788 times - Reply: 0 comments)
 
Allways

Posts: 9 topics
Joined: 24/4/2553

บุพเพคะเนสรร (ตอน 2)
« Thread Started on 30/6/2553 6:40:00 IP : 110.164.202.27 »
 
 

ตอนที่ 2  (พลัดถิ่น)

                เปลือกตาอ่อนบางเริ่มไหวขยับ เจ้าของดวงตาคู่สวยแม้จะพยายามเบิกให้กว้าง แต่ทำได้ไม่เต็มที่นัก เหมือนกับว่าถูกปิดพักไว้ยาวนานเหลือเกิน หญิงสาวค่อยๆ ยันตัวขึ้นอย่างเชื่องช้า

แสงแดดสีทองที่เล็ดลอดผ่านช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ สามสี่ช่องเข้ามาบ่งชัดว่าเป็นเวลาช่วงบ่าย แต่ผนังที่บุด้วยผ้าหนาสีน้ำตาลอ่อนแปลกตานี่สิ 

                "ตื่นแล้วหรือพี่สาว" เรียกสายตาไปอยู่ที่เด็กชายคนหนึ่ง

                "ที่นี่..."

                "บ้านข้าเอง เมื่อเช้าข้ากับแม่ไปซักผ้าที่ริมน้ำด้านโน้น~~น เห็นพี่สาวลอยตามน้ำมา ตอนแรกนึกว่าตายแล้ว" เด็กชายอายุราวสิบสองปีอธิบายพร้อมชี้มือประกอบ    

คำตอบทำให้เธอพิศวงหนัก กวาดตาสำรวจอย่างพิจารณา นี่น่ะหรือ ‘บ้าน' แม้ภายในดูโปร่งกว้างน่าสบาย แต่ลักษณะคล้ายที่พักแรมตอนเที่ยวป่ามากกว่า

และที่น่าแปลกใจก็คือ

                "ลอยตามน้ำมาได้ยังไง"

                "ข้าชื่อ ‘มาคิน' พี่สาวชื่ออะไร" เด็กชายแนะนำตัวโดยไม่สนคำพึมพำที่ได้ยิน

                "นาตาลี" เธอตอบเสียงเรียบ

                "มาคิน...ที่ว่าแม่น้ำน่ะ แม่น้ำอะไร"

                "แม่น้ำจากภูเขานำโชค"

มีด้วยเหรอ ไม่เคยได้ยิน

                "ภูเขานำโชคอยู่จังหวัดอะไร"

                "จังหวัดคืออะไร" คราวนี้มาคินต้องย้อนถามบ้าง

ดวงตาใสแป๋วของเด็กชายบอกให้รู้ว่า ‘ไม่รู้จัก' ได้ดียิ่งกว่าคำพูดเสียอีก หญิงสาวเห็นแล้วต้องถอนหายใจยาว 

อะไรกันโตจนป่านนี้ยังไม่รู้อีก ขืนซักต่อคงไม่ได้เรื่องซะละมั้ง ยิ่งช้ายิ่งเสียเวลาเดี๋ยวไปส่งงานด่วนให้คุณป้าไม่ทัน

‘งานด่วน!'

พอฉุกคิดได้ก็รีบหันซ้ายขวาพัลวัน

                "เป้พี่ล่ะ เห็นเป้พี่ไหม กระเป๋าสีดำใบใหญ่ๆ น่ะ ในนั้นมีงานสำคัญด้วย โอ๊ย...แล้วมอร์เตอร์ไซค์ฉันอยู่ไหนเนี่ย"

เมื่อไม่ได้รับคำตอบใดหญิงสาวก็ยิ่งร้อนใจหนัก ลุกพรวดจากที่นอนได้พลันหล่นตุ๊บลงกองกับพื้นตรงนั้นเอง มาคินต้องเข้ามาช่วยพยุงพร้อมต่อว่าทำไมถึงรีบร้อนนัก

นาตาลีตั้งสติอยู่พักใหญ่ก่อนกลั้นใจถาม

                "ที่นี่มีโทรศัพท์ไหม"

                "...?..."

"พี่จะโทรศัพท์ได้ที่ไหน"

                "...?..."

                "ไม่มีเหรอ!"

            เอาล่ะซิ

                "นี่ไม่ตลกเลยนะ อะไรกันในกรุงเทพนี่นะไม่มีโทรศัพท์" มาคินย่นคิ้ว

                "ข้าไม่รู้จักต่างหาก พูดเรื่องอะไรก็ไม่รู้"

                "มาจากพม่าหรือเปล่า พ่อแม่ไม่ได้บอกเหรอว่าที่นี่น่ะกรุงเทพ มีทั้งไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ แล้วก็อีกเพียบ" คราวนี้คิ้วของเด็กชายกลายเป็นดับเบิ้ลขมวด

                "ข้าอยู่ที่นี่ตั้งแต่เกิด ที่นี่ไม่ใช่กรุเทบ"

                "ไม่ใช่กรุเทบ กรุงเทพ...กรุง-เทบ"

                "...???..." มาคินเม้มริมฝีปากเพราะจนใจค้าน

                "เรียนหนังสืออยู่ชั้นไหน หรือว่าไม่ได้เรียน" ในที่สุดเด็กชายต้องผ่อนลมหายใจแรงๆ อย่างจงใจ

                "พี่สาวพูดจาแปลกๆ สงสัยแช่น้ำนานคงกินน้ำมากเลยเพี้ยน ที่นี่หมู่บ้านริมน้ำ อยู่ตีนเขานำโชคเป็นเขตของแผ่นดินคนภูเขา ข้าว่าพี่พักต่อเถอะ ท่าทางยังเหนื่อยอยู่ อีกเดี๋ยวพ่อกับแม่ข้าก็จะกลับมาแล้ว" 

เพราะตั้งแต่ได้คุยกันมา สรุปความโดยรวมแล้ว ‘ง๊ง งง!' เช่นเดียวกับอีกฝ่าย

                ‘พูดจาแปลกๆ' เธอต่างหากที่น่าพูดคำนั้น แทนตัวว่า ‘ข้า' เดี๋ยวนี้เขาเลิกใช้กันแล้ว การแต่งตัวก็ดูประหลาดพิลึก ถึงจะสะอาดสะอ้านแต่ก็เชยสุดๆ เหมือนหลุดมาจากยุคหินยังไงยังงั้น และยัง ‘ภูเขานำโชค' นั่นอีก ไม่เคยได้ยินมาก่อน

เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน รู้สึกงงไปหมดแล้ว พักผ่อนสักหน่อยคงดี ไว้รอคุยกับพ่อแม่ของเด็กคนนี้น่าจะได้เรื่องกว่า

นี่คงเป็นผลพวงจากอะไรสักอย่างที่เกิดขึ้นกับเธอ...มันคงแค่ฝันไป 

หญิงสาวล้มตัวลงนอนช้าๆ พยายามข่มตาลง หวังเพียงว่าเมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งทุกอย่างจะกลับคืนสู่ปกติ

                ในความมืดอันแสนเงียบสงัด ปกคลุมด้วยริ้วหมอกบาง สัมผัสได้ถึงอากาศหนาวเย็นจนจับใจ 

~นัท~

นั่นเสียงพี่ยุทธหนิ "พี่ยุทธนัทอยู่นี่" 

~นัท~

"หยาดเธอใช่ไหม" 

~นัท~

"พ่อ...พ่ออยู่ไหนคะ หนูมองไม่เห็นเลย" 

~Nut~  

"Mom!  I'm here ใครก็ได้เปิดไฟทีสิ ฉันมองอะไรไม่เห็นเลย ทุกคนอย่าเพิ่งไปนะ นัทอยู่นี่" 

พลันแลเห็นแสงสีทองเรืองรอง แม้จะเป็นความสว่างไสวเพียงเล็กน้อยแต่กลับเด่นชัดในความมืดมิด ความอบอุ่นอ่อนไหวเข้ามาเยี่ยมเยียนหัวใจอย่างประหลาด จุดประกายความหวังอันริบหรี่ให้กลับคืนมาอีกครั้ง

ทว่า...ชายหนุ่มเจ้าของแสงเทียนสีทองทำให้เธอต้องแปลกใจ

"ไม่น่าเชื่อเลย...คุณมาทำอะไรที่นี่" 

"ข้าต้องถามเจ้ามากกว่า ที่นี่เป็นที่ของข้า" 

"แต่ฉันไม่ได้มาหาคุณ ขอเทียนฉันเถอะ ฉันจะไปหาครอบครัวกับเพื่อนๆ" เจ้าของดวงหน้าคมนิ่งงัน แล้วค่อยๆ เลื่อนห่างออกไป เธอไม่รอช้ารีบตามติด

"เดี๋ยวสิ! ขอเทียนให้ฉันเถอะ" 

พลัน! ความมืดและความหนาวเย็นกลับเข้ามาโอบล้อมรอบกายอีกครั้ง

                "อย่าไป!" นาตาลีสะดุ้งตื่นมาหายใจกระหืดกระหอบราวกับวิ่งรอบสนามหลวงสักสิบรอบ สองมือยังไขว่คว้าไปมาเหมือนว่าเขามีตัวตนจริงๆ ไม่ใช่แค่ฝัน 

                "เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง" หญิงวัยกลางคนท่าทางอารีรีบเข้ามาถาม

                "...แค่...ฝัน...เท่านั้น..." นาตาลีครางเสียงแผ่วกับตัวเองมากกว่าจะเป็นคำตอบ 

‘แค่ฝัน' อย่างนั้นหรือ แต่ทำไมถึงเหมือนจริงนักล่ะ ท่ามกลางความมืดที่หนาวเหน็บและแสงสว่างเพียงเล็กน้อย แต่กลับจดจำใบหน้าคมคายของชายคนนั้นได้แม่นยำ

ต้องใช่เขาแน่ๆ

                "เอาล่ะใจเย็นๆ ก่อน มาคินเอาผลไม้มาให้พี่สาวกินเร็ว" หญิงสาวในชุดกระโปรงสีน้ำตาลปนเทารุ่มร่าม ทำให้นาตาลีผุดยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก 

                "ข้าชื่อพันนา สามีข้า..เชน ส่วนเจ้าตัวโตนี่ลูกชายข้าเอง" 

มาคินเข้ามาพร้อมผลไม้ในมือ รายงานเสียงแจ้วว่าได้เล่าให้พ่อกับแม่ฟังบ้างแล้ว นาตาลีโปรยยิ้มเอ็นดู 

จู่ๆ คนฉุกคิดได้พลันชะงักรอยยิ้มกะทันหัน

                "แล้วทำไมฉันยังอยู่ที่นี่ล่ะ"

                "ก็พี่สาวนอนอยู่ตรงนี้ตลอด ยังไม่ได้ไปไหนเลย ตื่นมาก็ต้องอยู่ที่นี่สิ แปลกจริง" 

คำตอบทำให้ยากจะยอมรับ ก็คนแปลกหน้ากับสิ่งแวดล้อมแปลกตายังคงอยู่นี่นา

                "เสื้อผ้า รองเท้า แล้วก็ถุงใส่ของของเจ้า ข้าจัดไว้ให้อยู่ใต้ที่นอน"

ทันทีที่พันนาบอกนาตาลีจึงรีบก้มลงดู เธอคว้ากระเป๋าเป้มากอดไว้อย่างโล่งใจ

เรียกว่าถุงใส่ของ มิน่ามาคินถึงไม่รู้จัก   

เด็กชายปรี่เข้ามาใกล้อย่างสนใจ นาตาลีเห็นแววตาอยากรู้อยากเห็นนั่นแล้วไม่คิดจะเปิดดูของข้างในเพราะไม่อยากนั่งตอบข้อสงสัยทั้งคืน จึงรีบเสมาคุยกับพันนา

"ขอบคุณมากนะคะ อุตส่าห์เก็บไว้อย่างดี"

"ไม่เป็นไร" พันนาชะงักคำชั่วอึดใจก่อนพูดต่อ "ดูจากการแต่งกายของเจ้า คงมาจากเมืองหลวงที่ไหนสักแห่ง ที่ไม่ใช่ที่นี่..." คนฟังกระพริบตาถี่

ประเทศไทยมีเมืองหลวงเดียว แค่แห่งเดียว ถ้าไม่ใช่...แล้วจะเป็นที่ไหน

"คนเมืองหลวงจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเนื้อดีเช่นเดียวกับของเจ้านั่นล่ะ แต่สีสันสว่างตากว่านี้มาก แปลกหน้าแปลกถิ่นซ้ำยังแปลกสำเนียง" เชนเสริมภรรยาด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตรเท่าไหร่นัก

นาตาลีเริ่มงง

            แปลก! งั้นเหรอ เสื้อยืดกางเกงยีนสีกรมท่า สวมทับด้วยแจ็คเก็ตหนังสีน้ำเงินอีกที ก็มันเป็นสีโปรดของฉัน แปลกตรงไหน...ไม่เข้าใจ แล้วฉันก็พูดภาษาไทยชัดถ้อยชัดคำออกปานนี้

ทำไปทำมาไอ้การได้คุยกับพ่อแม่ของเด็กกลับยิ่งไม่รู้เรื่องหนักกว่าเดิม

                "เจ้ามาจากแผ่นดินไหน" 

เชนถามให้คนฟังยิ่งอึ้ง 

ทำไมล่ะ ก็ที่นี่ไม่ใช่แผ่นดินประเทศไทยหรือไง

                "แผ่นดินไทย" เธอตอบแบบฝืนความรู้สึกสุดๆ เพราะข้องใจเหลือเกินว่าจะต้องมาทบทวนสัญชาติเชื้อชาติอะไรกันตอนนี้

"ข้าไม่เคยได้ยิน เจ้าพูดจาให้รู้เรื่องกว่านี้หน่อยได้ไหม"

แน่ะ!

                "จะเป็นไปได้ยังไง ไม่รู้จักประเทศไทยเหรอคะ ก็ยืนเหยียบกันอยู่ทนโท่เนี่ย" เชนจ้องตาเขียวอย่างไม่ปิดบังความรู้สึกจนพันนาต้องเข้ามาแตะหลังมือสามีเบาๆ ส่วนนาตาลีก็ปรับอารมณ์ตัวเองด้วยเช่นกัน

                "ขอโทษค่ะ แต่ก็ขอร้องล่ะนะคะเลิกล้อเล่นกันได้แล้ว ฉันแค่อยากรู้ว่าตอนนี้ฉันอยู่ตรงไหนของกรุงเทพ แล้วจะติดต่อกับทางบ้านได้ยังไงเพราะมือถือฉันแบ็ตหมดพอดี"

                คราวนี้เชนยัวะจัดจนโบ้ยมือมาทางภรรยา "เจ้าพูดกับนางละกัน ข้าฟังไม่รู้เรื่อง"

นาตาลีเริ่มเหลืออดแล้วเหมือนกัน ทำไมนะแค่เรื่องง่ายๆ ต้องทำให้มันยาก เธอถลันลุกจากที่นอนตรงไปแหวกผ้ากั้นประตูพร้อมชี้มือ

"ทุกตารางนิ้วของกรุงเทพมีแต่สิ่งปลูกสร้าง ตึกรามบ้านช่องมากมาย รถหยั่งงี้วิ่งกันให้เต็มถนนไปหมด ถ้าบ้านคุณไม่มีโทรศัพท์ก็ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไปโทรข้างนอกก็ได้" 

เงียบ! งง!

                "พวกคุณไม่เห็นหรือไง" นาตาลีย้อนถามเสียงหลง พลันสะบัดหน้าไปมองแต่กลับต้องเป็นฝ่ายงงเสียยิ่งกว่า! เพราะสิ่งที่เห็นเบื้องหน้าคือป่าไม้หนาทึบและภูเขาลูกน้อยใหญ่ที่ถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด

แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง

อะไรกัน!

            "นี่มันที่ไหนเนี่ย"

                               

            "จะให้ข้าไปรายงานผู้นำหมู่บ้านอย่างนั้นได้ยังไง นางหลงทางมาจากแผ่นดินไทย แผ่นดินไร้ตัวตนที่ไหนก็ไม่รู้ ข้าว่านางแกล้งพูดจาเลอะเทอะหวังหลอกให้เราตายใจ แท้จริงก็เป็นพวกสอดแนมเรื่องเพชร ขืนไปรายงานก็มีแต่เดือดร้อน" เชนเตือนเพราะหนักใจที่ภรรยาขอร้องให้ช่วยเหลือหญิงแปลกหน้าผู้อ้างว่า ‘พลัดถิ่น'

            ‘หมู่บ้านริมน้ำ' เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีไม่กี่ครอบครัว ดำเนินชีวิตกันอย่างเรียบง่ายและสงบสุขมาเป็นเวลานาน แต่เหตุการณ์น่าประหลาดที่เกิดขึ้นเมื่อสองอาทิตย์ก่อนทำให้หมู่บ้านที่เคยเงียบสงบแห่งนี้เปลี่ยนไป เมื่อเพชรแห่งอำนาจเปิดตำนานขึ้นอีกครั้ง...ที่นี่!

ไม่ว่าใครก็ไม่ควรไว้ใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘คนแปลกหน้า' หากย่างกรายเข้ามาต้องรายงานให้ผู้นำรู้

"แล้วถ้านางไม่ได้เป็นอย่างนั้นล่ะ น่าสงสารออก"

"งั้นเจ้าจะให้ข้าทำยังไง"

"บอกว่านางเป็นญาติข้า มารับข้าไปหมู่บ้านป่าไผ่ดีไหม"

"แล้วเราเชื่อนางได้หรือ นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ นะ" 

การให้ความช่วยเหลือใครสักคนในยามนี้อาจนำหายนะมาสู่ครอบครัวที่เขารัก

พันนากระชับมือสามีแน่น เผยแววตาอ้อนวอน

"ข้ารู้ว่าพี่ลำบากใจ เป็นใครก็คงต้องคิดหนัก เรื่องตำนานทำให้ไว้ใจใครไม่ได้ข้ารู้ แต่ถ้าพี่ไม่เชื่อนางก็ให้พี่เชื่อข้า ข้าว่านางไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้หรอก ข้ารู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างในตัวนาง ความน่าเชื่อถือ ความจริงใจ แววตาอ่อนโยนแต่กลับมาดมั่นอย่างนั้น นางไม่โกหก" 

เชนจำใจรับคำเพราะความที่รักภรรยามาก เขาไปพบ ‘อาทีผู้นำหมู่บ้าน' เพื่อรายงานว่ามีญาติของพันนาชื่อนาตาลีมาคอยช่วยเหลือช่วงใกล้คลอด หากแต่หยั่งเชิงไปว่าญาติผู้นี้เป็นคนสติไม่ค่อยดี ชอบพูดจาเพ้อเจ้อไม่รู้เรื่อง หากมีโอกาสพบเจอขออย่าได้ถือสา   

"ขอบคุณนะคะคุณพันนาที่เมตตาให้ฉันอยู่ที่นี่ ทั้งๆ ที่คุณเชนไม่เห็นด้วย ฉันยอมรับว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านของฉัน และก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น"

"ไม่ต้องพยายามอธิบายอะไรหรอก ข้าเชื่อเจ้า" นาตาลีถึงกับตื้นตันจนแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่

"แต่...ฉันไม่อยากเป็นสาเหตุให้พวกคุณมีปัญหากัน"

                "เจ้าคิดมากตามสามีข้าอีกคนละ เขาเกรงว่าจะเกิดเรื่องวุ่นวายเพราะเจ้าอาจเป็นพวกสอดแนมหาเพชรตามตำนาน แต่ข้าไม่คิดอย่างนั้น ตำนานก็ส่วนตำนานแค่ถูกเล่าขานกันมา เจ้าก็ส่วนเจ้าแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง..จริงไหม และที่สำคัญดวงตาเจ้ามันเปิดเผยออกอย่างนี้...จะไปโกหกใครได้" พันนาละสายตาไปทางบุตรชาย คล้ายจะบอกว่าไม่แผกไปจากกัน

"ทบซ้ายก่อนแล้วค่อยทบขวาจ๊ะ" เจ้าตัวสะดุ้งเล็กน้อยก่อนหันมาหัวเราะแหะๆ เหตุจากตั้งใจฟังมากกว่าตั้งใจพับผ้าตรงหน้า ผลเลยออกมายุ่งเหยิงอย่างที่เห็น

แล้วลากสายตากลับคืนเพื่อพบว่าอีกคนกำลังพิศวงงงงวยกับบางเรื่อง

"อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้เรื่องตำนาน"

เดาถูกด้วย

"เขาว่ากันว่าที่แผ่นดินคนภูเขามีเพชรแห่งอำนาจซ่อนอยู่ เคยเห็นกันหรือก็ไม่เคย เป็นเรื่องจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ได้แต่หากันลมๆ แล้งๆ หวังจะครอบครองอำนาจอันยิ่งใหญ่ ช่างโลภมากกันเสียจริง โชคดีที่ท่านแม่ทัพปราบโจรพวกนั้นเสียอยู่หมัด ก็ท่านเก่งกาจปานนั้นใครเล่าจะไม่ขยาดกลัว"

นาตาลีเผลออ้าปากค้างให้อีกฝ่ายได้หัวเราะร่วน 

                "ดูเจ้าสิ ทำหน้าเหมือนลูกชายข้าไม่มีผิด" คนถูกแซวหันไปยิ้มให้มาคินเป็นการแก้เขิน แท้จริงแล้วเธอไม่ได้อยากรู้เรื่องราวเหล่านี้ แต่แปลกใจที่ได้ยินเรื่องทำนองนี้ต่างหาก  

"หากยามใดที่ท้องฟ้าปรากฏคลื่นแห่งเมฆเป็นสีเทาอมเขียว สลับไปมากับสีแสดแดง มีสายฟ้าฟาดเปรี้ยงปร้างเหนือยอดเขานำโชคโดยที่ไม่มีฝนตกสักเม็ด นั่นล่ะ...บอกถึงเพชรจะมีผู้ครอบครอง และคนผู้นั้นจะได้มาซึ่งอำนาจเหนือสิ่งใดทั้งปวง"

"ก็เลยพากันมาที่นี่เพื่อหามัน" นาตาลีเดาบทสรุป สิ่งที่ได้ฟังช่างเหมือนนิยายโบราณที่เคยดูในทีวี ประมาณว่าละครจักรๆ วงศ์ๆ ทำนองนั้น

หากแต่พันนากลับส่ายหน้าช้าๆ "ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงเป็นอย่างเจ้าว่า แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว มาเพื่อช่วงชิงไป เพราะเพชรถูกกำหนดผู้ครอบครองไว้แล้ว นั่นคือท่านแม่ทัพผู้ปกครองแผ่นดินนี้"

"แม่ทัพผู้ปกครองแผ่นดิน" นาตาลีทวนคำเบาๆ ขนลุกชันไปทั่วทุกอณู ช่างน่าเกรงขามและยิ่งใหญ่เสียจริง ให้นึกถึงภาพของนักรบโบราณหน้าตาเหี้ยมเกรียมดุดัน ตัวหนาดำใหญ่ที่รักการรบเป็นชีวิตจิตใจ

"แล้วพวกคุณรู้ได้ยังไงว่าตำนานปรากฏขึ้นแล้ว หรือว่า...ถ้าอย่างนั้นเหตุการณ์ที่ท้องฟ้า..."

"ใช่ มันเกิดขึ้นช่วงสายเมื่อสองอาทิตย์ก่อน เพชรเลือกผู้ครอบครองแล้ว เมื่อหลายชั่วอายุคนเคยมีปรากฏการณ์แบบนี้แล้วครั้งหนึ่ง แต่ไม่มีหลักฐานแน่ชัด แค่เล่ากันต่อมา" พันนาเล่าถึงตำนานของคนที่นี่ที่มีมาช้านาน แต่หญิงสาวรู้สึกเหมือนได้ฟังนิทานก่อนนอนเรื่องหนึ่งเท่านั้น ออกจะตลกด้วยซ้ำ เพราะข้อสันนิษฐานเดียวที่นึกได้คือเหตุการณ์นั้นเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่บังเอิญไปตรงกันมากกว่า

เชนกลับมาด้วยใบหน้าที่ดูตึงเครียดไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าตอนแรก ถึงเขาจะไม่พูดอะไรให้นาตาลีรู้สึกแย่ไปกว่านี้ แต่ท่าทีไม่พอใจที่แสดงให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง ทำให้อึดอัดและรู้สึกผิดที่เหมือนบังคับให้พวกเขาต้องมารับภาระเรื่องของเธอจึงได้แต่เจียมเนื้อเจียมตัวยอมรับความเป็นไปที่เกิดขึ้น

นาตาลีนั่งทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมาท่ามกลางความเงียบ ครั้งสุดท้ายก่อนที่จะมาที่นี่ เธอขี่รถด้วยความเร็ว เลี้ยวซ้ายขวาตามซอกซอย แล้วก่อนจะออกถนนใหญ่ก็มีรถ...รถอะไรนะจำไม่ได้ มันพุ่งตรงมา...แล้ว...

นี่! ฉันตายแล้ว หรือว่ายังไงกัน วิญญาณหลุดจากร่างแล้วมาที่นี่งั้นเหรอ แต่ฉันก็ยังหายใจ ยังรู้สึกร้อนหนาวปกติ

ลองหยิกแขนตัวเองยังรู้สึกเจ็บ

แสดงว่ายังไม่ตาย!

...แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่...

ได้แต่ถอนใจเบาๆ มองดูแสงเทียนที่ใกล้หมดเล่ม ริบหรี่  ริบหรี่ หดหู่ใจเหลือเกิน ไม่รู้ว่าป่านนี้ที่บ้านจะเป็นอย่างไรบ้าง คิดถึงทุกคนมากก็เก็บมาฝัน จะฝันเหมือนตอนนั้นหรือเปล่านะ แต่นายคนนั้นไม่ได้คิดถึงสักนิดทำไมยังเก็บมาฝันด้วยล่ะ หรือเพราะเห็นภาพนั้น 

พอนึกได้จึงค่อยๆ หยิบออกมาคลี่ดูอย่างเบามือ    

"นายบอกฉันได้ไหม ว่าจะพานายไปส่งให้ถึงที่ได้ยังไง" ได้แต่พึมพำกับตัวเอง สุดท้ายไม่วายต้องถอนใจอีกครั้ง แล้วกรอกตาขึ้นมองสูงเพื่อกลบน้ำตาที่มันรื้นขึ้นมาจากความรู้สึกถ้อแท้และเหว่ว้าใจ

โดยไม่ทันได้สังเกตว่ามีสายตาอบอุ่นและอ่อนโยนคู่หนึ่งทอดมองมาด้วยความห่วงหาอาทรจากแผ่นกระดาษใบนั้น

 
Link to Post    -Back to Top

Bookmark and Share

กรุณาเข้าสู่ระบบหรือสมัครสมาชิกก่อนโพสข้อความค่ะ
»
คลิ๊กที่นี่
Advertising Zone    Close
 
 
 
 
 
 
Online:  1
Visits:  57,697
Today:  37
PageView/Month:  47

ยังไม่ได้ลงทะเบียน

เว็บไซต์นี้ยังไม่ได้ลงทะเบียนยืนยันการเป็นเจ้าของเว็บไซต์กับ Siam2Web.com