สำนักพิมพ์ ปัณณ์รัก : มอบหัวใจให้คุณ

 
 
 
 
 
Started by Topic:    ทัณฑ์รัก......เกอิชา ตอน 1-6  (Read: 916 times - Reply: 0 comments)
 
yuparut

Posts: 7 topics
Joined: 22/5/2553

ทัณฑ์รัก......เกอิชา ตอน 1-6
« Thread Started on 24/6/2553 18:47:00 IP : 110.49.158.248 »
 

ทัณฑ์รัก.....เกอิชา

บทนำ

                ค.ศ 1975
         แสงแดดแรกแห่งวันทอผ่านพ้นแมกไม้ออกมาให้เห็นรำไร แสงขาวนวลนั้นช่วยอาบไล้หิมะขาวโพลนที่ร่วงหล่นเต็มพื้นดินนั้นให้ระเหยกลายเป็นไอขึ้นไปสู่ท้องฟ้าได้บ้าง แต่ถึงแม้จะมีแสงแดดอย่างนั้นแต่เกล็ดขาวๆ ของหิมะก็ยังโปรยปรายลงมาไม่ขาดสายทับถมเหล่าต้นหญ้าเล็กๆไม่ให้มีโอกาสได้งอกเงยขึ้นมาสูดอากาศจากภายนอก

                จากตำแหน่งที่ยืนอยู่ผู้มองสามารถเห็นทิวทัศน์ของเมืองนี้ได้ชัดเจน ตึกสูงๆ ต่ำๆ ระเกะระกะ บางตึกสูงจนแทบจะเสียดเข้ากับผืนฟ้า

นับเป็นเวลากว่าสัปดาห์แล้วที่ถนนไฟแดง เมืองโตเกียวแห่งนี้มีหิมะตกโปรยปรายลงมาไม่หยุด แต่วันนี้นับได้ว่าเป็นวันที่มีอากาศดีที่สุด อากาศโปร่งใสมากพอที่หลายคนอยากจะออกไปจับจ่ายใช้สอยข้าวของจำเป้นแต่สำหรับเธอ ซายูริ ริเอะ คงไม่มีโอกาสเช่นนั้น ความคิดของเธอในเวลานี้จมปลักอยู่อย่างเดียวก็คือทำอย่างไรเธอถึงจะมีเงินมากๆได้ มากพอที่จะใช้มันเป็นบันไดพาเธออกไปพบแม่ได้

เงินคือทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต เงินที่จะบันดาลทุกสิ่งที่อยากได้ อำนาจของมันล้นเหลือ เมื่อมีเงินทุกอย่างย่อมมาสยบอยู่แทบเท้า

สายตาของซายูริทอดมองออกไปไกล ทางด้านหน้าตรงข้ามกับอาคารมีเด็กๆ หลายคนวิ่งเล่นกันอยู่อย่างสนุกสนาน ของเล่นชิ้นใหม่ราคาแพงที่ผู้ปกครองซื้อให้ สีสันของมันสดใสน่าเล่น เด็กๆเหล่านั้นได้ลิ้มรสความสนุกสนานตามวัยกันอย่างเต็มที่ยกเว้นตัวเธอเอง

ภายในใจของเธอหวนคิดไปถึงเมื่อสิบปีก่อนเมื่อครั้งที่เธออาศัยอยู่กับมิยาอิผู้เป็นย่าตามลำพังในกระท่อมหลังน้อยในเขตฮิดะในจังหวัดกิฝุ ซึ่งเป็นพื้นที่ในชนบทที่มีภูเขาและหุบเขาล้อมรอบทำให้แถบนี้มีหิมะตกหนักเกือบตลอดทั้งปี อุณหภูมิลดต่ำลงจนหนาวเหน็บแทบทนไม่ไหว

บ้านของเธอหรือจะเรียกให้ถูกก็คือกระท่อมแบบโบราณหลังเล็กกระจิดจิดที่สร้างมาจากไม้และดินเหนียว มุงหลังคาด้วยกระเบื้อง อันถือเป็นสมบัติตกทอดมาจากคุณปู่ฮาคิดะ

ถึงตัวบ้านจะค่อนข้างเก่าแต่ภายในกลับอยู่สบาย ลมและอากาศถ่ายเทได้สะดวก ประตูและหน้าต่างเป็นแบบประตูเลื่อนที่สามารถเปลี่ยนแปลงห้องเล็กๆ ที่มีอยู่ด้วยกันสองห้องซึ่งแต่เดิมแยกเป็นของทาเคชิผูเป็นพ่อและของเธอกับย่าให้รวมกันเป็นห้องใหญ่ๆ 1 ห้องได้

"มากินข้าวได้แล้วล่ะซายูริ เดี๋ยวจะเย็นเสียหมด"เสียงแหบเครือด้วยวัยชราของผู้เป็นย่าดังขึ้น ขณะที่มือของหญิงชราง่วนอยู่กับการตักข้าวเจ้า เมล็ดสั้นกลมป้อมออกเหนียวเล็กน้อยนั้นใส่ลงในถ้วยกระเบื้องเคลือบเก่าๆจนเต็มให้กับหลานสาวกำพร้าที่น่าสงสาร

เด็กหญิงซายูริวัยสิบขวบ เงยใบหน้ากลมป้อมขึ้นขานรับก่อนจะละมือจากการปอกต้นกระเทียมที่เธอกับผู้เป็นย่ารับจ้างปอกเพื่อยังชีพเอาไว้และเลื่อนถาดนั้นแอบชิดเข้ากับข้างฝ้า

รายได้เพียงน้อยนิดสำหรับคนอื่นแต่ก็มีค่ามากพอสำหรับสองย่าหลานที่ยากจน

"วันนี้ทำอะไรคะย่า น่าทานจัง"เด็กหญิงยิ้มกว้างรีบล้างมือจนสะอาดและมานั่งคุกเข่าบนเสื่อทาตามิพลางกวาดสายตามองอาหารเพียงสองอย่างตรงหน้าบนโต๊ะญี่ปุ่นด้วยความหิว

"ผักกาดดองกับเทมปุระ อ่อ......วันนี้ย่าทำโมจิข้าวเหนียวให้ด้วยนะ เผื่อเอาไว้พรุ่งนี้จะได้ห่อไปโรงเรียนด้วยเลยยังไงล่ะ"เจ้าของเสียงแหบเครือนั้นใช้ตะเกียบคีบขนมก้อนกลมๆ ข้างในเป็นไส้ถั่วแดงกวนออกวางไว้ให้หลานสาวสองชิ้นและสำหรับตัวเองอีกหนึ่งชิ้น

"หนูไม่อยากไปโรงเรียนเลยจ้ะย่า"ซายูริย่นหน้าแต่ปากและมือยังคงทำงานกันอย่างสอดประสานไม่นานข้าวในถ้วยก็หมดจนต้องขอเติมอีก หญิงชรารีบตักให้อย่างเอ็นดู

"กินเยอะๆ จะได้โตเร็วๆ เจ้าผอมกว่าคนอื่นในหมู่บ้านเสียครึ่ง ใครเห็นก็จะว่าย่าเลี้ยงหลานให้ อดๆ อยากๆ เราไม่ได้ยากจนถึงขนาดนั้นเสียหน่อย เอ่อ....ว่าแต่มีอะไร ทำไมถึงไม่อยากไปโรงเรียนเรอะ"

"ใครๆ ที่โรงเรียนชอบล้อว่าหนูเป็นลูกไม่มีพ่อไม่มีแม่ จริงหรือจ๊ะยาย"ทุกครั้งที่ได้ถามถึงผู้ให้กำเนิดลำคอของเด็กหญิงจะเต็มตื้นขึ้นมาจนไม่สามารถกลืนอาหารรสชาติโอชะของนางมิยาอิเข้าไปอีกได้ แม้ว่าร่างกายในวัยกำลังเจริญเติบโตจะเรียกร้อง หญิงชราส่ายศีรษะไปมาพร้อมทำเสียงเข้ม

"ใครกันที่ล้อเจ้า ย่าจะไปเอาเรื่องมันเดี๋ยวนี้"ไม่พูดเปล่าแต่เจ้าของเสียงแหบเครือนั้นถลกผ้านุ่งขึ้นยืนจังก้าท่าทางเอาเรื่องอย่างที่พูด ดูน่าขันแต่ในเวลานี้ซายูริขำไม่ออกเอาเสียแล้ว

"แล้วมันจริงไหมล่ะย่า"

"ถ้าไม่มีพ่อไม่มีแม่เจ้าจะเกิดมาจากกระบอกไม้ไผ่หรือยังไงเล่า เรียนมาซะสูงก็น่าจะรู้ดีนี่นา"ทำเสียงแข็ง แต่ตาคอยหลบหลานสาวตลอดเวลา

"แล้วพ่อกับแม่ล่ะย่า ไปไหนกันหมด"คำถามเดิมซ้ำๆ ที่เด็กหญิงเฝ้าเพียรถามแต่ไม่ได้รับคำตอบอะไรเลยมาเป็นเวลาสิบกว่าปีนานเท่าอายุเธอ

"เอาล่ะๆ เซ้าซี้อยู่ได้ แล้วเย็นนี้จะเล่าให้ฟังก็แล้วกัน"ผู้เป็นย่าตัดบท ใจอ่อนยวบกับสายตาอ้อนวอนของหลานสาวทั้งที่ใจแข็งมาได้ตั้งหลายปี แต่ซายูริโตพอที่จะรับความจริงอันโหดร้ายได้แล้ว

ความหลังที่เจ็บปวดทำให้นางไม่อยากนึกถึง แม้ใครๆ จะไม่พูดถึงเรื่องนั้นขึ้นมาอีกแต่นางก็รู้ดีว่าอาโออิ อดีตเกอิชาเลื่องชื่อ ซากุระงามผู้เป็นที่หมายปองของชายมากมายในเวลานั้น

 และเป็นลูกสะใภ้ของนางเองที่แอบหนีไปกับชายชู้พร้อมกับทาเคอิน้องชายของซายูริ จากวันนั้นมานางก็ไม่ได้ทราบข่าวของสองแม่ลูกคู่นั้นอีกเลย

อาโออิทิ้งให้ทาเคชิลูกชายของนางเอาแต่ดื่มเหล้าจนเมามาย ไม่ยอมสนใจไยดีซายูริลูกสาวตัวน้อยวัยขวบเศษ มีเพียงนางมิยาอิผู้เป็นย่าเท่านั้นที่เลี้ยงดูหลานสาวตัวน้อยด้วยตัวเอง จนกระทั่งบุตรชายของนางได้ตายไปเพราะเมาและถูกรถชนขณะเดินข้ามถนน

"โธ่......ทำไมจะต้องเย็นนี้ด้วยล่ะจ๊ะ ตอนนี้ไม่ได้หรือ"เด็กหญิงโอดครวญแต่การที่ผู้เป็นย่ายอมรับปากก็ทำให้เธอยิ้มกว้างพร้อมกับปาดน้ำตาทิ้งอย่างยินดี

"บอกว่าเย็นนี้ก็ต้องเย็นนี้สิ และจนกว่าเจ้าจะปอกกระเทียมและทำการบ้านเสร็จแล้วด้วย ไม่อย่างนั้นย่าเห็นทีจะเปลี่ยนใจ"นางมิยาอิขู่ขึ้นแต่สายตานั้นทอแสงอ่อนลงอย่างเห็นใจ

"เดี๋ยวนี้แหละจ้ะยาย" ซายูริลงมือเก็บถ้วยชามไปล้างทำความสะอาดและเดินฮัมเพลงออกไปปอกหัวกระเทียมด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข 
           ตาคอยเฝ้ามองนาฬิกาเก่าๆบนฝาผนังห้องเป็นระยะ นับวันคอยว่าเมื่อไหร่จะถึงเย็นนี้เสียที เธอจะได้รู้ว่าแท้จริงแล้วพ่อกับแม่เป็นใคร พ่อกับแม่จะต้องรักเธอมาก ไม่ได้ทิ้งเธอไปอย่างที่ได้ยินคนอื่นๆเขาพูดกัน

เมื่อทำงานทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว เด็กหญิงก็ออกมานั่งรอผู้เป็นย่าซึ่งออกไปช่วยงานศพของคนในหมู่บ้านอย่างใจจดใจจ่อ
          เด็กหญิงร่างเล็กนั่งเหม่ออยู่บนชิงช้าที่ทำมาจากท่อนไม้ผูกด้วยเชือกปอทั้งสองด้านและนำไปผูกเงื่อนไว้กับต้นไม้ใหญ่ทั้งสองด้าน

ซายูริแกว่งเท้าเบาๆให้ชิงช้านั้นเคลื่อนตัวเป็นจังหวะ ร่างขาวนวลอาบไล้ด้วยแสงแห่งพระจันทร์ดูแปลกตา ดวงตากลมโตสีดำสนิทต่างจากคนเชื้อชาติญี่ปุ่นทั่วไปของเธอสว่างไสวในความมืดเป็นประกายวับแต่ทว่าดูโดดเดี่ยว ใบหน้าขาวนวลแนบพิงกับตัวเชือกทำให้เส้นผมสีดำสนิทม้วนพันเข้ากับปลายเชือก

ดวงตากลมโตนั้นเอ่อท้นด้วยหยาดน้ำตาขึ้นมาอีกครั้ง นึกถึงเรื่องเมื่อวานที่มีเพื่อนหญิงคนหนึ่งล้อเลียนเรื่องแม่ของเธอ กล่าวหาว่าแม่ของเธอเป็นโสเภณีชั้นสูงที่อ้างตัวเป็นเกอิชาแต่กลับตั้งท้องจนต้องออกมาแต่งงานกับพ่อของซายูริแต่ก็ไม่รักดีแอบมีชู้จนมีลูกชายอีกคน

"ไม่จริงใช่ไหมจ๊ะแม่จ๋า......แม่ต้องไม่ทิ้งซายูริ"เด็กหญิงครางเสียงแผ่วราวกับจะฝากสายลมหวีดหวิวที่พัดมาเป็นระยะให้ไปถึงอาโออิผู้เป็นแม่ เด็กหญิงหลุบสายตามองพื้นสลับกับชะเง้อคอมองออกไปหน้าบ้านเป็นนานกว่าผู้เป็นย่าจะกลับมา ซายูริโหนตัวลงจากชิงช้าวิ่งแจ้นเข้าไปรับของจากมือมิยาอิ

"ย่าจ๋า มาช้าจังเลย"

"ยังไม่นอนอีกเหรอริเอะ นี่มันดึกมากแล้วนะ สามทุ่มสำหรับเด็กอย่างเจ้าถือว่าดึกมากแล้ว"เสียงแหบพร่านั้นเอ่ยตำหนิไม่จริงจังนัก

"โธ่ย่า.......อย่าแกล้งลืมอย่างนี้สิจ๊ะ ก็ย่าบอกว่าเย็นนี้จะเล่าเรื่องพ่อกับแม่ให้ฟังยังไงล่ะ"เด็กหญิงย่นจมูกเอ่ยทวงสัญญาในทันที

"นึกว่าลืมแล้วเสียอีกนะนี่ ถ้าอย่างนั้นย่าขอไปอาบน้ำก่อนก็แล้วกัน ถ้าเจ้ายังไม่อาบก็ไปอาบพร้อมกัน"นางมิยาอิส่ายหน้าก่อนจะเดินไปยังห้องอาบน้ำโดยมีซายูริเดินตามหลังด้วยความดีใจ

เธอกับผู้เป็นย่าเข้าไปห้องอาบน้ำพร้อมๆ กัน ซายูริจัดการนำน้ำร้อนที่ต้มเอาไว้รอท่าแล้วเทผสมกับน้ำประปาเย็นจัดจนมันกลายเป็นน้ำอุ่นลงในอ่างอาบน้ำจนเต็มอ่าง ต่างคนต่างชำระร่างกายฟอกสบู่บนม้านั่งตัวเล็กจนสะอาดแล้วจึงลงไปแช่ตัวในอ่างน้ำอุ่นพร้อมๆกัน ซายูริค่อยๆ คลานเข้าไปนวดไหล่ให้ย่าอย่างเอาใจ

"หวังผลล่ะซิ ทำมาเอาใจย่าอย่างนี้"

"ไม่ใช่สักหน่อย แต่ถ้ามันทำให้ย่าอารมณ์ดีแล้วรีบเล่าเรื่องพ่อกับแม่ให้ฟังมันก็คงจะดี"เด็กหญิงทำหน้าทะเล้นไปด้วยจนผู้เป็นย่าต้องเผลอยิ้มทั้งเอ็นดูทั้งหมั่นไส้ สีหน้าผ่อนคลายกับการนวดของหลานสาว

"พ่อของเจ้าชื่อทาเคชิ ส่วนแม่น่ะชื่ออาโออิ"นางมิยาอิหลุดปากออกมาจนได้ ซายูริตาโตทวนชื่อพ่อกับแม่ของตัวเองจนขึ้นใจ ท่าทางสนใจมองตาแป๋วของหลานสาวทำให้หญิงชราต้องเลยตามเลยยอมเล่าเรื่องนั้นไปพร้อมๆกับการอาบน้ำไปด้วย

"แล้วยังไงต่อคะย่า"

"ทาเคชิทำงานบริษัทส่งออกรถยนต์ในโตเกียว เขาเป็นผู้ชายที่หล่อมาก สาวๆมาแอบชอบมากมายเชียวล่ะแต่ผู้หญิงคนเดียวที่เขารักกลับเป็นอาโออิ แม่ของเจ้าที่ในเวลานั้นเป็นแค่เกอิชาเท่านั้น"นางมิยาอิหลับตาลงด้วยความเจ็บปวดขณะเล่า ลูกสะใภ้ที่เป็นเกอิชาใครเห็นใครก็นินทาว่าร้ายกันทั้งนั้น

"ย่าเตือนหลายครั้งว่าไม่ให้พวกเขาคบกันแต่ทาเคชิก็ไม่เคยเชื่อฟัง ยอมเป็นตันนะอุปถัมป์นางจนตั้งท้องเจ้า ย่าก็เลยต้องรับนางเข้าบ้าน ถึงจะไม่รักไม่อยากได้มาเป็นสะใภ้แต่เมื่อนางตั้งท้องหลานในไส้แล้วอย่างนี้ย่าก็ต้องรับเอาไว้และพ่อของเจ้าก็ยืนยันนักหนาว่าอาโออิเป็นเกอิชาที่ขายเพียงศิลปะไม่เคยขายเรือนร่าง"

"พ่อกับแม่คงรักกันมาก"เด็กหญิงบอกขึ้นด้วยความภูมิใจแต่ถ้อยคำนั้นทำให้ก้อนแข็งๆในคอของหญิงชราเต็มตื้นขึ้นมาจนพูดไม่ออก

"รีบขึ้นจากอ่างเถอะ เดี๋ยวจะไม่สบายเอา"จู่ๆนางก็เปลี่ยนเรื่องแถมยังลุกออกจากอ่างน้ำไปซะเฉยๆทิ้งให้ซายูริต้องนั่งงงก่อนจะรีบตามออกไปบ้าง

เด็กหญิงแต่งตัวลวกๆแล้วเข้าไปหาย่าในห้องนอน ล้มตัวลงนอนเคียงข้างบนนวมนุ่ม สอดปลายเท้าเข้าไปใต้ผ้า ยามดึกอากาศเริ่มหนาวมากขึ้นจนต้องห่อตัวด้วยความหนาวเหน็บ

"ว่าไงจ๊ะย่า"ซายูริยังคงเซ้าซี้แม้ว่าผู้เป็นย่าจะแกล้งหลับตาเหมือนว่ากำลังหลับสนิทไปแล้วก็ตาม

"เมื่อมาอยู่ที่บ้านแรกๆอาโออิก็ช่วยเหลืองานบ้านด้วยดี ทำให้ย่าเริ่มอ็นดู แต่เพราะความสวยของนางจึงทำให้มีผู้ชายมากหน้ามาชอบ ชาวบ้านหลายคนก็เริ่มนินทาต่างๆ นาๆ อย่างว่าคนเป็นเกอิชามาก่อนใครๆก็ต้องมองไม่ดีกันทั้งนั้น"นางมิยาอิแสยะยิ้มในความมืดเมื่อสั่งให้หลานสาวดับตะเกียง

"ไม่จริงหรอก ถึงซายูริจะจำแม่ไม่ได้แต่ก็รู้ดีว่าแม่ไม่มีวันชอบผู้ชายพวกนั้น"

"อันนั้นย่าเองก็ไม่รู้หรอกนะแต่ที่รู้ ยามเมื่อพ่อเจ้าออกไปทำงานก็มีผู้ชายหลายคนเอาข้าวของชิ้นโน้น ชิ้นนี้มาให้มากมายไม่ขาดจนต้องทะเลาะกับพ่อของเจ้า และอีกปีต่อมาอาโออิก็ตั้งท้องพอคลอดก็ออกมาเป็นเด็กผู้ชาย ใบหน้าของเด็กคนนั้นไม่มีเคล้าทาเคชิแม้แต่นิดเดียว" น้ำตาของหญิงชราคลอเบ้าอย่างเจ็บใจ ความสงสารบุตรชายคนเดียวแล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆจนร่างเหี่ยวย่นตามวัยนั้นสั่นสะท้าน

"แล้วแม่พาน้องหนีไปใช่ไหมจ๊ะ"ซายูริเองเสียงก็ชักเครือขึ้นมาบ้าง

"ใช่......อาโออิคงทนแรงกดดันจากคนรอบข้างไม่ไหวจนต้องพาทาเคอิหนีไปทั้งที่เขามีอายุเพียงแค่เดือนเดียว นั่นยิ่งทำให้เรื่องที่แม่ของเจ้าคบชู้มันน่าเชื่อหนักเข้าไปอีก ทาเคชิเสียใจมาก เขาดื่มเหล้าหนักจนถูกไล่ออกจากงานทำให้ข้าวของในบ้านต้องถูกขายออกไปเพื่อแลกกับเงินจนร่อยหรอ สภาพบ้านเราก็เป็นอย่างที่เจ้าเห็นนั่นแหละ และไม่นานเขาก็ถูกรถชนตายเพราะความเมา"

"ถึงอย่างไรซายูริก็ยังไม่อยากเชื่อว่าแม่จะทิ้งหนูไป"ซายูริส่ายหน้า ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ ไม่ว่าใครจะกล่าวร้ายอย่างไรเธอก็จะไม่มีวันเชื่อจนกว่าจะได้เห็นด้วยตาของตัวเอง

"ย่าก็เล่าเท่าที่รู้ ความจริงมันเป็นสิ่งที่เจ็บปวดแต่มันก็คือความจริง"

"สักวันหนูจะตามหาแม่ให้พบแล้วถามแม่ด้วยตัวเองว่าทิ้งหนูกับพ่อทำไม"เด็กหญิงบอกเสียงดัง ดวงตาวาวโรจน์ในความมืด ดวงตาที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นจนหญิงชราชักหวั่นใจ

"จะไปได้อย่างไรกัน แม่เจ้าหนีไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ เห็นว่าชายชู้นั่นเป็นคนตะวันออกแต่ย่าก็ไม่รู้จัก แค่เคยได้ยินชื่อชนเผ่าตอนพวกเขาทะเลาะกัน ย่าจำได้เพราะพวกเขาทะเลาะกันกรอกหูแทบทุกวัน"

"ย่าว่าแม่จะไปอยู่ที่ไหนหรือย่า"เด็กหญิงลุกจากที่นอนอันแสนอบอุ่นหันมาเขย่าแขนผู้เป็นย่าอย่างร้อนรน
         หญิงชราส่ายหน้าแต่ก็ยอมบอกชื่อชนเผ่าที่ได้ยินตอนลูกชายกับลูกสะใภ้ทะเลาะกันแต่โดยดี พราะไม่คาดคิดคิดว่าในอนาคตอันต่อจากนี้เด็กหญิงจะทำตามความมุ่งมันของตัวเองจนได้

"ย่าเคยได้ยินพ่อของเจ้าบอกว่าชายชู้ที่มาติดพันอาโออิเป็นคนชนเผ่าฟามาลย์ ในประเทศแถบทะเลทราย ประเทศอะไรย่าก็ไม่ได้ถามเจ้ารู้แค่นี้ก็พอแล้ว ไปนอนซะย่าง่วงเต็มที"นางมิยาอิหันข้างให้และคุมโปงใต้ผ้านวมเป็นการตัดบทสนทนา ซายูริ ริเอะถอนหายใจยาวแต่ความมุ่งมั่นยังมีอยู่เต็มเปี่ยม

"ชนเผ่าฟาร์มาล"เด็กหญิงพึมพำไปมา ท่องจนขึ้นใจพลางคิดในใจว่าไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนเธอจะต้องเก็บเงินให้มากพอที่จะออกไปตามหาอาโออิผู้เป็นแม่กับน้องชายให้จงได้

 

***********************************************************************************************************

ตอนที่ 2

"ซายูริ......"เสียงเรียกพร้อมกับปลายนิ้วที่แตะลงบนแผ่นหลังผ่านชุดกิโมโนทำให้ผู้ที่กำลังยืนเหม่ออยู่ต้องสะดุ้งวาบ เจ้าของมือปิดปากหัวเราะคิกคักอย่างเห็นเป็นเรื่องสนุกกับความขวัญอ่อนของเพื่อนสนิท

"มิกะนี่ มาเงียบๆ ฉันตกใจหมด"หญิงสาวส่งสายตาดุๆ ไปให้แต่สาวสวยผู้มีนามว่ามิกะยักไหล่อย่างไม่สนใจแล้วเปลี่ยนมาเป็นต่อว่าเพื่อนแทน

"ใครว่าฉันมาเงียบๆ เดินลงส้นตึงตังออกอย่างนั้นแต่เธอไม่ได้ยินเองต่างหากเล่า ว่ายังไงมัวเหม่ออะไรอยู่ล่ะถึงได้สะดุ้งขนาดนั้น"

"ไม่มีอะไร"เจ้าตัวตอบพลางหันไปพับเสื้อผ้า

"คิดถึงบ้านอีกล่ะสิ ฉันรู้หรอก กี่ปีแล้วนะที่เรามาอยู่ที่นี่พร้อมๆ กัน สิบปีนานเหมือนกันน ะแต่เวลากลับผ่านไปอย่างรวดเร็วจนน่าแปลกใจ อีกไม่นานเราก็คงได้เป็นเกอิชาเต็มตัวแล้ว"อีกฝ่ายบอกขึ้นอย่างร่าเริงพลางขยับมวนผมที่ตลบพันขึ้นสูงปักด้วยปิ่นรูปใบพัดทางด้านซ้ายและปิ่นรูปปะการังทางด้านขวา

ในฐานะนางเกอิชาฝึกหัดหรือที่เรียกว่าไมโกะนั้นทรงผมของพวกเธอต้องอลังการไปด้วยเครื่องประดับ น้ำหนักรวมกันแล้วก็หลายกิโล

"ฉันยังไม่เห็นอยากเป็น"ซายูริเบ้หน้า

"แต่ฉันอยากเป็นมาก เบื่อเต็มทนแล้วกับการเป็นไมโกะที่ต้องคอยวิ่งรับใช้เกอิชารุ่นพี่งกๆ ถูกกลั่นแกล้งสารพัด ฝึกก็หนักยิ่งกว่าพวกทหารอีกแหนะ"

"นั่นสินะ การเป็นเกอิชามันก็จะทำให้เรามีชื่อเสียง ได้ต้อนรับแขก และที่สำคัญเราก็จะได้มีเงินเยอะๆด้วย มีเงินมากพอที่จะไถ่ตัวแล้วก็เป็นไท จากนั้นฉันก็จะไปตามหาแม่กับน้องชาย"ซายูริว่าเข้านั่น ลมหายใจเข้าออกเป็นเงินเป็นทองจนมิกะต้องมองค้อน

"จ้ะ......แม่คนหน้าเงิน วันเปิดตัวครั้งแรกที่จะเรียกค่าประมูลพรมจารีสักกี่หมื่นเยนดีล่ะ สวยๆอย่างเธอคงมีผู้ชายมากมายที่อยากจะเป็นดันนะอุปถัมส์"มิกะเลื่อนมือเรียวจากการจัดทรงผมมาเชยคางซายูริขึ้นมอง ใบหน้านวลที่ปราศจากการลงแป้งขาวหนาเตอะช่างงดงามหมดจดจนน่าอิจฉาจริงๆ

"ฉันต้องเก็บเงินให้ได้เยอะๆ นี่นา เธอก็รู้ว่าฉันขายตัวเองมาเป็นเกอิชาที่นี่เพื่ออะไร"ซายูริไม่ยี่หระกับการกล่าวหาของมิกะหรือแม้แต่ใครๆ

เพราะเธอนั้นก็เห็นแก่เงินจริงๆ อย่างที่ใครๆ เขาว่า แต่เธอก็ไม่เคยคดโกงใครเงินทุกเยนที่สะสม ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงจากการทำงานทั้งนั้น

"รู้ดีเท่าๆ กับตัวเธอนั่นแหละ เพราะเธอเล่าให้ฉันฟังมาตั้งแต่ตอนอายุสิบเอ็ดปีนี่ก็ยี่สิบเอ็ดแล้วก็ยังเล่าให้ฟังอยู่เลย ฉันจะทวนให้ฟังแทนเอาไหมล่ะ"

"ไหนลองซิ"ซายูริย้อนถามยิ้มๆ

"แม่เธอชื่ออาโออิ แอบหนีไปเมืองทะเลทรายซึ่งเธอก็ไม่รู้ว่าประเทศอะไรพร้อมๆกับน้องชายชื่อทาเคอิ เธอมีแค่รูปถ่ายตอนเป็นเกอิชาของแม่ที่พอกแป้งขาวจนหนาเตอะจนดูไม่ออกว่าหน้าตาจริงๆเป็นยังไงที่ย่าให้เอาไว้ก่อนตายแต่เธอก็ยังจะออกตามหา อย่างนั้นใช่ไหม"

"เก่งนี่"หญิงสาวชูนิ้วโป้งให้

"ถ้าเป็นฉันนะ ถ้าหากแม่ทิ้งฉันไปอย่างเธอล่ะก็ ฉันไม่มีวันตามหาให้ปวดใจเสียเปล่าๆ หรอก เขาทิ้งเราแสดงว่าเขาไม่ได้รักเราแล้ว"มิกะยักไหล่อีกครั้งอันเป็นสัญลักษณ์ของเธอไปเสียแล้ว

 กิริยานี้ติดเป็นนิสัยที่แก้ยาก ดังนั้นยามเมื่ออยู่ต่อหน้าโอคาซังหรือคุณแม่เจ้าของสำนักเกอิชาซายูริจึงต้องคอยหยิกเตือนอยู่บ่อยๆ

"แม่รักฉัน เพียงแต่แม่คงมีเหตุผลที่ต้องทิ้งฉันไป"ซายูริยืนยันถ้อยคำเดิม ไม่ว่าจะถูกใครห้ามปรามอย่างไร ความเชื่อของเธอก็ไม่มีใครขัดขวางได้

"จ้า...ฉันรู้ดี แม่คนหัวแข็ง ถ้าอย่างนั้นก็ไปดูชุดกิโมโนสวยๆที่คุณแม่ให้เอามาเลือกสำหรับให้เราใส่ในวันเปิดตัวของพวกเรากันเถอะ จะได้มีคนอยากประมูลพรมจารีของเธอด้วยราคาแพงลิบลิ่วยังไงล่ะ"มิกะชวนแล้วกึ่งจูงกึ่งลากเพื่อนรักให้ออกไปจากห้องพักส่วนตัว

เมื่อไปถึงยังอีกห้องหนึ่งที่ถูกกั้นไว้ด้วยม่านบางๆสองสามชั้น บรรดาไมโกะคนอื่นๆที่อายุไล่เลี่ยกันและกำลังจะจบหลักสูตรเพื่อเลื่อนขั้นเป็นเกอิชาเหมือนกันกำลังเลือกชุดกิโมโนของตัวเองอยู่อย่างตั้งใจ ชุดกิโมโนพวกนี้คาเนดะหรือคุณแม่ของพวกเธอนั้นสั่งตัดมาให้คนละชุด ทำจากไหมพันธุ์พิเศษคัดมาอย่างดี

ลวดลายของมันนั้นสวยงาม มีสีสันฉูดฉาด ตัวที่สาวๆ ให้ความสนใจมากที่สุดก็คือลายดอกซากุระบานและเลือกตัวที่มีสันสันสดใส แต่สำหรับซายูรินั้น หญิงสาวกลับหมายตากิโมโนแขนยาวสีดำสนิทที่เขียนลวดลายเป็นภาพต้นหลิวสีเขียวสลับขาวดูลึกลับ น่าพิศวงแต่สาวๆคนอื่นมองเมิน

ชุดกิโมโนพวกนี้ถือเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดในชีวิตของเกอิชา ราคาค่างวดของมันแต่ละตัวนั้นสองถึงห้าพันดอลล่าห์

และแน่นอนว่าโอคาซังอย่างคาเนดะผู้ที่มิกะแอบตั้งฉายาให้ว่าคุณแม่ทะเลนั้นไม่มีทางมอบให้ใครฟรีๆ แน่ ค่าตัวของพวกเธอในแต่ละคืนจะต้องถูกหักจนแทบจะไม่มีเหลือจนกว่าจะพอจ่ายค่าชุด ค่าเลี้ยงดู ค่าเล่าเรียนศิลปะแขนงต่างๆ อีกจิปาถะ หลังจากนั้นรายได้จึงจะพอเหลือเก็บ

"สวยจังเลยนะซายูริ ดูของฉันสิ สีส้มสดลายดอกเมเปิ้ล แสบตาเชียว เวลาฉันใส่มันคงจะขับผิวให้สวยเด่นไม่แพ้ใครแน่ๆ"มิกะหยิบชุดสวยนั้นขึ้นมาแนบอกด้วยสายตาชวนฝัน

ซายูรินั้นเพียงแค่ลูบๆคลำๆมันเท่านั้น ไม่ใช่ว่าชุดกิโมโนแสนสวยนั้นจะไม่ถูกใจเธอแต่เพราะราคาค่างวดของมันต่างหากที่แสนจะแพงตามความงามของเนื้อผ้าไปด้วย นั่นต่างหากที่ทำให้เธอเสียดายเงินที่จะต้องถูกหักออกไป อีกกี่ปีกันล่ะถึงจะสามารถใช้หนี้ชุดกิโมโนนั้นได้

"เธอเป็นคนสวยมิกะ ไม่ว่าสวมชุดไหน สีอะไรเธอก็ดูงามสง่าเสมอ"ซายูริหยอดคำหวานทำให้มารีน สาวสวยลูกครึ่งญี่ปุ่น อเมริกา ผู้มีดวงตาสีเขียวมรกต

เธอเป็นไมโกะรุ่นเดียวกับซายูริ มารีนหยักริมฝีปากขึ้นอย่างเยาะหยันพร้อมกับหันไปพูดกับเพื่อนในกลุ่มของเธอแต่ปรายตามามองทั้งสองเป็นระยะ

"น่าเบื่อไอ้พวกบ้ายอนะเธอ รู้ว่าเขายอยังทำหน้าระรื่น หน้าตารึก็เหมือนกับลูกเป็ดที่เจ้าของไม่อยากเลี้ยงให้โตมากพอที่จะทำเป็ดปักกิ่งได้ ยังจะเชื่อคำชม"

"นั่นสินะ ฉันได้ยินแล้วยังอยากจะอ้วก"สาวสวยที่อยู่เคียงข้างมารีนเอ่ยขึ้นตามหลัง ตามติดมาด้วยสาวสวยอีกคนหนึ่งที่ป้องปากหัวเราะลอยมาตามหลัง มิกะหน้าตึง ถึงพวกนั้นจะไม่เจาะจงว่าเป็นใครแต่สายตาที่มองมา ดูปราดเดียวก็รู้ว่าแม่พวกนั้นหมายถึงใคร

"พวกเธอว่าใคร"มิกะวางชุดสวยลงแล้วเงยหน้าขึ้นมาถามอย่างเอาเรื่อง ซายูริยื่นมือมาฉุดรั้งแขนของเพื่อนรักที่กำลังมีโทสะพร้อมเอื้อมหน้าไปกระซิบ

"อย่ามีเรื่องตอนนี้เลยมิกะ ใกล้จะถึงงานเปิดตัวครั้งแรกแล้ว ถ้าเรามีเรื่องกับพวกมันเราสองคนจะต้องถูกลงโทษไม่ให้ร่วมงานในวันนั้นด้วย ทางที่ดีเราควรสงบปากสงบคำเอาไว้ก่อนดีกว่า"

"กระซิบกระซาบอะไรกัน แน่จริงบอกให้พวกเราได้ยินสิ ว่าอย่างไรเล่าแม่คนงาม คนเด่น เตรียมตัวปรนเปรอแขกไปถึงไหนแล้วล่ะ คงยากหน่อยละนะ"มารีนยังไม่หยุดยั่วเย้า

จงใจหาเรื่องเพื่อให้ซายูริกับมิกะที่เธอแสนจะเกลียดชังเพราะความสวยของทั้งสองนั้นมีไม่น้อยไปกว่าเธอ ดังนั้นหนทางที่ดีที่สุดก็คือตัดไฟแต่ต้นลม ให้สองคนนั่นถูกลงโทษจนไม่ได้ไปร่วมงานแล้วเวลานั้นคนที่สวยและเด่นที่สุดก็จะเป็นเธอ ทาเมอิ มารีน.......

"มันจะมากไปแล้วนะมารีน เราสองคนขายศิลปะของการเป็นเกอิชา ไม่มีวันที่จะขายพรมจารีให้กับชายที่ไม่ยินดี อย่ามาเหมารวมว่าคนอื่นจะเป็นเหมือนตัว"ซายูริโพล่งขึ้นอย่างเหลืออด ทั้งที่เมื่อครู่นี้เธอเองเป็นคนเอ่ยเตือนสติมิกะแต่คราวนี้กลับตบะแตกเสียเอง

"โอ้ย.....บอกไปใครเขาจะเชื่อ โดยเฉพาะคนเห็นแก่เงินอย่างเธอเงินแค่เยนเดียวตกยังต้องรีบคลานเข้าไปเก็บ"มารีนทวนความหลัง

"ฉันไม่คิดจะขายตัว"ซายูริเน้นเสียงรอดไรฟัน มือเรียวยาวกำแน่นอย่างพยายามควบคุมโทสะที่แล่นพล่านไปทั่วร่างกาย

"จ้า.....แม่คนรักศักดิ์ศรี แม่ของเธอเองก็เคยเป็นเกอิชาที่นี่มาก่อนไม่ใช่หรือ ได้ข่าวว่าท้องกับดันนะ แต่ก็ไม่รู้นะว่าดันนะคนนั้นจะเป็นพ่อของเธอจริงๆหรือเปล่า แม่ของเธอเองก็ประกาศว่าจะไม่ยอมขายพรมจารีให้กับใครมิใช่หรือ แล้วทำไมมีเธอออกมาประจานตัวเองซะล่ะ"มารีนเย้ยหยัน

ความงามที่เลื่องชื่อของอาโออิในสมัยยี่สิบปีที่แล้วนั้นเป็นที่กล่าวขาน ยามเมื่อครูฝึกจะยกตัวอย่างรุ่นพี่เกอิชาให้ฟัง ชื่อของอาโออิมักจะเป็นคนแรกเสมอ

"แม่กับพ่อรักกัน แม่มอบพรมจารีให้ดันนะด้วยความรัก ไม่ใช่เพราะขาย"ซายูริตัวสั่น อารมณ์ที่กักเก็บเอาไว้จวนเจียนจะระเบิด

"เอาหลักฐานอะไรมายืนยันล่ะ ในคืนวันประมูลพรมจารีมีคุณชายตระกูลดังมาประมูลแม่ของเธอถึงคืนล่ะห้าหมื่นเยนมีหรือนางจะปฏิเสธ"

"ดูเหมือนเธอจะรู้รายละเอียดดีซะอย่างกะว่าแม่ของเธอเองก็อยู่ในนั้นด้วยเสียอีกนะ นังลูกครึ่งเชอะ.....ทำมาเป็นพูดดี ความจริงแล้ว แม่ของเจ้าก็คงจะเป็นแค่พวกโออิรันขายตัว ที่ถูกซื้อไปเป็นเมียเช่าของพวกแขกอเมริกันที่เข้ามาครอบครองประเทศเราตอนหลังสงครามโลกล่ะสิ หน้าตาของเธอมันถึงได้ออกมาทุเรศอย่างนี้"มิกะชี้หน้าท้าทาย สวนขึ้นทันควันเล่นเอาสาวสวยหัวโจกของการท้าดวนคารมครั้งนี้ต้องกรี๊ดลั่น

"กรี๊ด.....นังมิกะ แกกล้าว่าฉันเหรอ"มารีนกระทืบเท้าอย่างโกรธแค้น

"ต๊าย......นี่เธอเพิ่งจะรู้ตัวหรือไงยะว่าฉันว่าน่ะ"

"ตบมันเลยมารีน เอามันให้ตายคามือโดยเฉพาะนังซายูริหน้าหวานนี่"เพื่อนสาวในกลุ่มของมารีนยุขึ้น มารีนตัวสั่นด้วยความโกรธโดยเฉพาะกับประโยคต่อมาของซายูริที่ร้องบอกด้วยสีหน้าท้าทาย

"ฉันก็มีมือสองข้างเท่ากับเธอ แถมยังเป็นมือที่เคยทำงานหนักมาก่อนเสียด้วย ดูซิว่าใครมันจะแน่กว่ากัน"เสียงเย้ยหยันนั้นทำให้อารมณ์ของมารีนพลุ้งพล่านหนักขึ้นก่อนจะกระโดดเข้าใส่ซายูริอย่างลืมตัว ลืมไปว่าตัวเองนั้นอาจจะโดนโทษทัณฑ์หนักจนถึงขั้นไม่อนุญาตให้ร่วมในงานเปิดตัว

"นี่แหนะ....."มารีนฟาดฝ่ามือไปบนใบหน้าของซายูริฉาดใหญ่ เนจังเพื่อนของมารีนผู้เป็นลูกมือคอยยุถลาเข้าขวางเมื่อเห็นว่ามิกะกำลังจะตรงเข้าช่วยซายูริ

"แกเป็นคนแรกที่ตบฉัน มารีน แล้วจะรู้ว่าคนอย่างฉันไม่ยอมตกเป็นเบี้ยล่างใครง่ายๆ"ซายูริคำรามก่อนจะผลักร่างงามนั้นกระเด็นผึงไปกองกับพื้นท่ามกลางเสียงกรีดร้องของคนอื่นๆ

ซายูริประเคนฝ่ามือไม่ยั้งไปบนหน้าของคู่ซ้อมจนใบหน้านั้นบวมเป่ง เช่นเดียวกับมิกะที่สั่งสอนแม่คนช่างยุอย่างเนจังซะสะบักสะบอมพอๆกัน

"สมน้ำหน้า ทีหลังอย่าลองดีกับพวกฉันอีก"มิกะถอยห่างออกมายืนมองผลงานของตัวเองด้วยความพอใจพลางหันไปสบตากับซายูริแล้วยักคิ้วให้

"มารีน หน้าเธอบวมเป่งเลย"เนจังหันมามองเพื่อนสนิทพร้อมอุทานขึ้น

"หน้าเธอก็เหมือนกัน ปากแตกอย่างนั้น เราจะเปิดตัวยังไง"มารีนวิ่งไปหยิบคันฉ่องที่วางอยู่ใกล้ๆนั้นขึ้นมาส่องหน้าตัวเองทันที เนจังรีบแย่งมาดูบ้างและหลังจากนั้นสองสาวก็กรีดร้องลั่นขึ้นพร้อมกัน ซายูริรีบยกมือขึ้นปิดหู ส่วนมิกะนั้นยืนหัวเราะด้วยความสะใจ

"แก.......แกทำให้ฉันไม่ได้ไปร่วมงานนี้"มารีนร้องลั่น ตามมาด้วยคำหยาบคายอีกมากมาย มือไม้คว้าชุดกิโมโนที่อยู่ใกล้มือปาใส่ฝ่ายตรงข้ามไม่ยั้ง

"เอะอะอะไรกัน!"เสียงกร้าว ทรงอำนาจของคาเนดะดังขึ้นทำให้ความวุ่นวายทั้งหมดหยุดชะงักราวกับถูกตัดขาดด้วยกรรไกรอันแหลมคม

สาวๆทุกคนคุกเข่าหมอบลงกับพื้นด้วยความหวั่นเกรง รวมทั้งสี่สาวผู้ก่อคดีวิวาทร่วมกันมาด้วย นางผู้เป็นโอคาซังตวัดสายตาคมๆของเธอแลกวาดไปทั่วก่อนจะมาหยุดอยู่ที่ใบหน้ายับเยินของมารีนกับเนจัง นางสาวเท้าไปใกล้แล้วใช้มือเรียวนั้นเชยคางมารีนขึ้น

"ยับเยินอย่างนี้ อย่าหวังว่าจะได้ไปร่วมงานที่โรงน้ำชา รอไปก่อนเถอะ"คำบอกนั้นทำเอาน้ำตาของสองสาวร่วงเผาะ การพลาดโอกาสในการไปร่วมงานครั้งนี้ก็เท่ากับว่าเธอสองคนจะไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเกอิชาเต็มตัวในปีนี้

"แต่ที่หน้าฉันต้องเป็นแบบนี้ก็เพราะนังสองคนนั่นนะคะ มันตบฉัน"มารีนชี้มือไปทางซายูริเป็นเชิงฟ้อง ทั้งแค้นใจจนแทบอยากจะบีบลำคอระหงนั้นให้แหลกคามือ สองสาวมือตบได้แต่ก้มหน้านิ่งเมื่อดวงตาแหลมคมของโอคาซังจับจ้องมายังเธอทั้งสองพร้อมกับบอกเสียงกร้าว

"เจ้าสองคนก็เหมือนกัน โทษของการทะเลาะวิวาทก็คือการต้องทนอยู่ในตำแหน่งไมโกะต่อไปจนกว่าจะถึงปีหน้า"ประกาศิตนั้นดังก้อง ซายูริลำคอตีบตัน

ความใฝ่ฝันที่จะได้เป็นเกอิชาเต็มตัวของเธอจบสิ้นแล้ว นั่นหมายถึงเป้าหมายที่จะเก็บเงินเพื่อออกไปตามหาแม่นั้นต้องเลื่อนออกไปอีกด้วย

"แต่มารีนมาหาเรื่องเราก่อนนะคะคุณแม่"มิกะโพล่งขึ้น อย่างไม่ยอมแพ้ เธอกับซายูริเป็นคนถูกหาเรื่องก่อนแท้ๆ การตัดสินแบบนี้ถือว่าไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย

                "ไม่จริงค่ะ"มารีนแย้งขึ้น

                "พวกเจ้าทั้งหมดอยู่ในเหตุการณ์นี้ ไหนบอกมาซิว่าเกิดอะไรขึ้น"คาเดนะหันไปถามคนอื่นๆที่ร่วมรู้เห็นในเหตุการณ์ แต่ทุกคนก็ก้มหน้างุดไม่กล้าพูดความจริงเพราะกลัวความร้ายกาจของมารีน

"ว่ายังไง ตกลงพวกเจ้าเห็นว่าใครเป็นคนหาเรื่องใครก่อน"

"ไม่ทันฟังค่ะ"ใครคนหนึ่งที่ดูจะใจกล้าที่สุดเงยหน้าขึ้นตอบ

"พวกเจ้า!"มิกะกำมือแน่นอย่างแค้นใจ ขยับจะเอาเรื่องแต่ซายูริรีบฉุดแขนเอาไว้พลางส่ายหน้าเป็นเชิงห้าม เพียงแค่คดีเดียวเธอเองก็ไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไรดีแล้ว

"เห็นไหมคะ ว่ามันสองคนร้ายกาจแค่ไหน"มารีนว่าขึ้น

"ถ้าอย่างนั้น เธอสองคนซายูริ มิกะ จะต้องถูกลงโทษตามกฎ ต้องถูกกักบริเวณสามวันแล้วไม่ได้รับอนุญาตให้ไปร่วมงาน ส่วนเจ้ามารีนกับเนจังถ้าหายทันก็ไปร่วมงานได้แต่ถ้าหน้าเจ้ายังบวมเป่งอยู่ล่ะก็ห้ามเด็ดขาด ฉันไม่อยากขายขี้หน้า สำนักเกอิชาที่นี่มีชื่อเสียงที่สุด"นางคาเนดะตัดสินความแล้วเดินนวยนาดออกไป ทิ้งให้ซายูริกับมิกะต้องโผเข้ากอดกันร่ำไห้ด้วยความเสียใจ

ชีวิตของไมโกะ อะไรมันจะสำคัญมากไปกว่าการได้เป็นเกอิชา

 

คาเนดะเดินไปหยุดยืนอยู่หน้าพิณตัวโปรด ก่อนจะยกมือเรียวของตัวเองขึ้นดีดเป็นทำนองอันไพเราะเพราะพริ้ง เธอเป็นโอคาซังแห่งนี้เพื่อสืบสานกิจการของครอบครัวต่อ ปีนี้เธออายุได้สี่สิบห้าพอดีแต่ความงามที่ได้รับการปรุงแต่งด้วยเครื่องประทินโฉมราคาแพงนั้นมีส่วนช่วยให้ความงามนั้นยังคงอยู่

นางถอนหายใจยาวอย่างกลัดกลุ้ม วางมือที่เล่นพิณอยู่อย่างไร้อารมณ์ที่จะเล่นมันต่อได้ นึกไปถึงงานเปิดตัวเกอิชารุ่นใหม่ที่จะมีขึ้นในอีกสองวันข้างหน้าด้วยความเสียดาย

อันที่จริงแล้ว ซายูริกับมิกะถือว่ามีความงามและพรสวรรค์ในการแสดงต่างๆ มากกว่าคนอื่นๆ เธอเองก็คาดหวังว่าจะได้เปิดตัวดอกหลิวล้ำค่าประจำสำนักเธออย่างซายูริ

เด็กคนนี้มีพรสวรรค์นอกจากความงามที่มากล้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการร่ายรำ การดนตรีหรือแม้แต่วิธีการเอาอกเอาใจลูกค้าเธอก็ทำได้ยอดเยี่ยม แต่น่าเสียดายที่มาทำความผิดเข้าอย่างนี้ เธอเองเป็นโอคาซังของที่นี่ก็ต้องทำตามกฎอย่างเคร่งครัด ไม่อย่างนั้นก็จะปกครองคนอื่นๆ ไม่ได้

คาเนดะทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง ความคึกคักมาเยือน เมื่อถึงเวลาค่ำคืน โคมไฟหลากสีถูกจุดไปทั่วทางเข้า เนื่องจากย่านนี้เป็นย่านการค้าที่คึกคักมากในโตเกียว โดยเพราะถนนสายนี้ มีสำนักเกอิชาเปิดขึ้นถึงสามแห่ง ต่างแข่งขันกันในทุกด้านแต่สำนักของเธอถือว่าใหญ่และดังที่สุดในย่านนี้

ภาระอันแสนจะหนักอึ้งที่จะต้องพาธุรกิจที่ได้รับการตกทอดของครอบครัวไปให้รอด เมื่อยี่สิบปีก่อนแม่ของเธอต้องทำงานอย่างหนักเพื่อก่อตั้งมันขึ้นมา

 ช่วงนั้นเป็นช่วงหลังสงครามโลกใหม่ๆ เศรษฐกิจตกต่ำ แต่แม่ของเธอก็ยังสู้อุตส่าห์ประคับประคองกิจการให้อยู่รอดมาได้ กิจการต้องปิดไปชั่วคราวเพราะภาวะแห่งสงคราม พอเริ่มตั้งตัวได้เลยคิดจะเปิดมันขึ้นมาใหม่ ทั้งๆที่มีผับ บาร์เกิดขึ้นมากมายซึ่งเป็นอารยธรรมใหม่ที่พวกอเมริกันนำเข้ามา

สาวงามจากสำนักเกอิชา หลายคนทนความลำบากไม่ไหว ยอมขายเรือนร่างให้กับพวกอเมริกัน เกอิชาที่ไร้ซึ่งศิลปะ มีผู้หญิงหากินที่อ้างตัวเป็นเกอิชามีอยู่ทั่วบ้านทั่วเมือง

 แต่เพราะสำนักเกอิชาของแม่เธอมีนางงามชั้นดีอย่างอาโออิ ที่ช่วยเรียกแขก ไม่อย่างนั้นคงจะต้องปิดตัวและสูญหายไปพร้อมๆ กับสำนักเกอิชาอื่นๆ

ในยุคนั้นเกอิชาเลื่องชื่อที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นอาโออิ ดอกไม้งามแห่งของญี่ปุ่น ต้นหลิวที่งดงาม เจริญเติบโตจนเบ่งบานได้ที่ในเมืองหนาวแต่กลับยอมละทิ้งทุกอย่างไปเป็นดอกไม้ในทะเลทรายเพราะความรัก ความรักเท่านั้นที่ทำให้เธอทิ้งลูกสาวตัวน้อยอย่างซายูริได้ลงคอ

 เด็กหญิงอาโออิในเวลานั้นหนีออกมาจากบ้านของเศรษฐีคนหนึ่ง เดินเท้าเปลือยเปล่าด้วยสภาพทรุดโทรม แล้วบังเอิญเดินเข้ามาชนกับแม่ของเธอเข้า แต่เดิมนั้นเธอถูกขายไปเป็นสาวใช้ของเศรษฐีเพราะความยากจนของครอบครัว

อาโออิเป็นคนสวย ดวงตาสีดำสนิทกลมโต จมูกโด่งพองาม ริมฝีปากบางจิ้มลิ้ม ทุกสัดส่วนของใบหน้าล้วนสอดรับกันอย่างลงตัว เช่นเดียวกับซายูริไม่มีผิด

อาโออิกับคาเนดะ อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เป็นไมโกะฝึกหัดมาพร้อมๆ กัน รู้เห็นความเป็นไปของอาโออิดี เพราะว่าเธอกับสาวงามผู้นั้นเป็นเพื่อนสนิทกัน

คาเนดะเองก็ไม่คาดคิดเลยว่าอีกสิบกว่าปีต่อมาลูกสาวของเพื่อนรักผู้หายสาบสูญไปพร้อมๆ กับลูกชายจะเดินเท้าเปล่า เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ตากหิมะอันหนาวเหน็บมาพบเธอถึงหน้าสำนัก สภาพของเด็กหญิงในวันนั้นน่าสมเพชเวทนานัก

"เจ้าเป็นใครกัน จู่ๆมาเคาะประตูรียกฉัน แล้วพ่อแม่ไปไหน ปล่อยให้ตากหิมะมาแบบนี้ได้ยังไงกัน"คาเดนะในวัยสาบสิบห้าปีร้องถามพลางกวาดสายตามองหาผู้ปกครองของซายูริ

"หนูมาสมัครเป็นเกอิชาค่ะ"เด็กหญิงตอบฉะฉาน แม้ว่าจะอยู่ในสภาพตัวซีด ปากสั่น แต่แววตานั้นบ่งบอกถึงมุ่งมั่นของมันได้เป็นอย่างดี

"ใครพามาล่ะ"

"หนูมาคนเดียว"เด็กหญิงบอกขึ้น เธอเดินทางมาจากบ้านในชนบทด้วยรถประจำทางเท่าที่เงินเก็บอันน้อยนิดจะพาตัวเองมาได้ มาตามทิศทางที่ผู้เป็นย่าบอกเอาไว้ก่อนตายว่าแม่ของเธอนั้นในอดีตเคยทำงานอยู่ที่นี่ เป็นเกอิชาเลื่องชื่อที่เกอิชาทุกคนในยุคนั้นในโตเกียวจะต้องรู้จัก

 เมื่อเงินหมดแต่ความมุ่งมั่นยังไม่หมดไปด้วย เด็กหญิงซายูริ ริเอะเดินถามทางคนที่ผ่านไปมาเรื่อยๆท่ามกลางหิมะตกตลอดทั้งวันจนมาถึงที่นี่

"มาได้ยังไง เดินเท้าเปล่ามานี่น่ะหรือ"นางคาเนดะอุทานลั่นก่อนจะร้องบอกให้เด็กในสังกัดคนหนึ่งซึ่งก็คือมิกะเอาร่มออกมากางรับเด็กหญิงเข้าไปพักข้างใน

"ขอบคุณ"ซายูริบอกขึ้นเมื่อเด็กหญิงมิกะถอดเสื้อคลุมของตัวเองออกคลุมให้พร้อมกับรีบเดินไปรินชาร้อนๆใส่ในถ้วยเคลือบออกมายื่นให้

 ซายูริรับมาถือไว้ในอุ้งมือ ถูไปมาให้ความร้อนนั้นแทรกซึมเข้าสู่ปลายมือเย็นเฉียบของตัวเองจนมันอุ่นได้ที่จึงได้เงยหน้าขึ้นมองคาเนดะพร้อมกับคุกเข่าลง

"ได้โปรดรับหนูไว้ที่นี่ด้วยนะคะ"เด็กหญิงโขกศีรษะตัวเองแรงๆ ลงกับพื้นแทนการคำนับ คาเนดะรีบห้ามเมื่อเห็นว่าศีรษะของเด็กหญิงเริ่มบวมโน

"ทำไมเธออยากเป็นเกอิชานักฮึ......"นางผู้เป็นเจ้าของเกอิชาก้มหน้าลงถามด้วยความแปลกใจ กับแววตามุ่งมั่นของเด็กหญิง

"หนูไม่มีใคร ย่าเพิ่งตายไป ในชีวิตก็มีแต่ย่ากับแม่ที่ทิ้งหนูไป หนูอยากทำงานที่นี่เพื่อเก็บเงินออกไปตามหาแม่ค่ะ"ซายูริเงยหน้าขึ้นตอบทั้งน้ำตา คิดถึงเสาหลักในชีวิตอย่างนางมิยาอิขึ้นมาทีไร หัวใจของเด็กหญิงก็เหี่ยวเฉาลงทันที

"จะไปตามหาที่ไหนล่ะ แม่ของหนูอยู่ที่ไหน"

"แม่หนีไปที่เผ่าฟามาลย์ค่ะ อยู่ที่ประเทศอะไรหนูเองก็ยังไม่ทราบแต่ย่าเคยบอกว่าแม่เคยทำงานที่นี่ อาโออิค่ะ ท่านน้ารู้จักไหมคะ"ซายูริตอบตาแป๋วทำให้นางคาเนดะถึงกับยืนอึ้ง เซถลาไปเสียหลายก้าวก่อนจะตั้งสติได้แล้วจับจ้องมองใบหน้าของซายูริเขม็ง

"ลูกสาวของอาโออิหรอกหรือนี่"นางครางอย่างคาดไม่ถึง อาโออินั้นเป็นสาวงามที่เลื่องชื่อ มีค่าตัวสูงที่สุดในยุคนั้น มีผู้ประมูลพรมจารีให้สูงกว่าหญิงคนไหนจะได้รับแต่เจ้าตัวก็ไม่ยินยอมพร้อมใจ

ความสนิทสนมกันทำให้เธอพอจะทราบว่าสาวงามจากเลื่องชื่อคนนี้มีคนรักอยู่แล้วและสาวน้อยอาโออิก็ตั้งใจว่าจะเก็บเงินให้ได้มากที่สุดแล้วกลับไปอยู่กับคนรักของเธอ แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดหลังจากนั้นไม่นานอาโออิก็ตั้งท้องกับชายที่มาติดพันคนหนึ่ง

ทุกคนนั้นแทบไม่อยากเชื่อเพราะทาเคชินั้นเป็นผู้ชายในอันดับสุดท้ายที่สาวงามเลื่องชื่ออย่างอาโออิจะเลือกชายตามอง

"หนูคิดถึงแม่ คุณน้ารู้จักแม่ของหนูใช่ไหมคะ พอจะทราบไหมว่าเผ่าฟามาลย์นั่นอยู่ที่ไหน"ซายูริวางถ้อยในมือลงหันมาเขย่ามืออีกฝ่ายแรงๆ อย่างน้อยการมาที่นี่ของเธอก็ไม่เสียเปล่า เพราะดูเหมือนเธอผู้เป็นเจ้าของสำนักเกอิชาจะรู้จักแม่ของเธอดี

"เอาล่ะ อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้เลย ปากเจ้าเขียวหมดแล้ว เดี๋ยวจะมาตายที่นี่เปล่าๆ มิกะพานางไปพักที่ห้องของเจ้า วันนี้ฉันมีธุระต้องออกไปข้างนอกแล้วกลับมาค่อยคุยกัน"คาเนดะบอกจบก็หมุนตัวออกไปท่ามกลางสายตาละห้อยของซายูริ

เพราะอะไรกันนะ ดูเหมือนว่าแต่ละคนที่รู้จักแม่ของเธอ มักจะบ่ายเบี่ยงไม่อยากเล่าความหลังของแม่ให้เธอฟัง

"ไปเถอะ"มิกะ เด็กหญิงผมหยักศกสีน้ำตาลอ่อน ใบหน้าสะสวยแตะแขนเธอเบาๆพร้อมกับดุนหลังที่ทำท่าอ้อยอิ่งนั้นให้ลุกขึ้นพลางกวาดสายตาหาอะไรบางอย่าง

"อะไรหรือ"

"กระเป๋าเสื้อผ้าของเธอล่ะ ไม่เอามาด้วยหรือ"

"มี.....แต่ว่าในระหว่างทางถูกพวกจรจัดแย่งเอาไปหมด เหลือแค่ชุดนี้ชุดเดียว ส่วนรองเท้าของฉัน มันขาดตอนที่เดินมานี่"ซายูริก้มลงมองเท้าเปลือยเปล่าของตัวเองที่เริ่มจะบวม แดง เพราะถูกความเย็นจัดของน้ำแข็งกัดกร่อน

"โอ......เท้าเธอ"มิกะตาโต ยกมือขึ้นปิดปากตัวเองอย่างตกใจ แล้วเธอก็รีบนำเอาผ้าหลายผืนที่มีอยู่ในห้องมาห่อหุ้มขาของซายูริเอาไว้ให้

"ขอบคุณมาก"ซายูริน้ำตาซึมด้วยความซาบซึ้ง นอกจากคุณย่ามิยากิแล้ว ไม่เคยมีใครแสดงกิริยาอ่อนโยนอย่างนี้กับเธอมาก่อน

"ไม่เป็นไรจ้ะ ฉันชื่อมิกะ เพิ่งมาอยู่ที่นี่เดือนแรกเหมือนกัน"

"ฉันชื่อซายูริ ริเอะ ฉันจะต้องเป็นเกอิชาของที่นี่ให้ได้ ถ้าเขาไม่รับฉัน ฉันจะฆ่าตัวตาย"ซายูริบอกขึ้นด้วยท่าทางเอาจริงจนมิกะตกใจ

"อะไรกัน"

"ฉันไม่มีทางเลือกแล้ว เธอจะให้ฉันไปไหนได้ล่ะ ในสภาพนี้"ซายูริก้มลงมองเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งของตัวเอง และเท้าเปลือยเปล่า มิกะยิ้มแหยๆ หากเป็นเธอต้องเจอกับสภาพอย่างนั้นก็คงต้องยอมขายตัวเอง เพื่อแลกกับการมีชีวิตรอดต่อไปในสังคมเห็นแก่ตัวอย่างปัจจุบันนี้

ความคิดล่องลอยของคาเนดะจบลง เมื่อเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น สาวใช้สองคนเดินเข้ามาบอกกับเธอว่ามีพ่อแม่ยากจนคู่หนึ่งจะเอาเด็กผู้หญิงมาขายให้ เหมือนเป็นวัฎจักร เมื่อไมโกะกำลังจะเลื่อนขั้นได้เป็นเกอิชา ก็จะมีเด็กผู้หญิงคนใหม่เข้ามาแทนที่

 

ตอนที่ 3

"แม่....."เสียงตะโกนลั่นของชายหนุ่มอายุประมาณ 25 ปีในชุดเสื้อคลุมยาวสีดำสนิท พร้อมๆกับที่เขาวิ่งเต็มฝีเท้าโผเข้ารวบร่างผอมๆ ของสตรีนางหนึ่งที่ห้อยโหนตัวเองอยู่กับขื่อของตัวบ้าน ร่างนั้นหมดสติคอพับคออ่อนไปแล้วเมื่อเขาได้มาถึง

"ยูซุป! เร็วเข้า ใครอยู่ข้างนอก เอารถออก ข้าจะพาแม่ไปหาหมอ"ชายหนุ่มผู้นั้นตะโกนก้องราวกับคนบ้าคลั่ง ค่อยๆวางร่างไร้สติของมารดาลงกับเตียงนอน จัดการผายปอดช่วยชีวิตเบื้องต้นตามที่ได้ขอให้หมอช่วยสอน เพราะนี่ไม่ใช่เพียงครั้งแรกที่ซายีน่าแม่ของเขาคิดฆ่าตัวตาย

เพราะความรักตัวเดียว ที่ทำให้แม่ของเขาต้องตกอยู่ในสภาพอย่างนี้ ตั้งแต่จำความได้ ฮัสซาร์ผู้เป็นพ่อ  คหบดีที่ร่ำรวยที่สุดในสหรัฐอาหรับดิลิยะ เมืองที่เต็มไปด้วยน้ำมันดิบอันล้ำค่า พ่อผู้ปรนเปรอลูกเมีย ด้วยเงินทองแต่ไม่เคยมอบความรักอันแท้จริงให้

ชีวิตของชายผู้นี้ มีแต่เรื่องผู้หญิงเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ซ้ำหน้า แม่ของเขาต้องพบกับความทุกข์ใจอย่างแสนสาหัส ทุกคืน เขาจะเห็นผู้เป็นแม่นอนร้องไห้ รอคอยว่าเมื่อไหร่ผู้เป็นสามีถึงจะกลับมานอนบ้าน

จากความเครียดที่กดดันอยู่ภายในใจของซายีน่ามาหลายปี นับตั้งแต่คลอดบุตรชายคนเดียวคืออัสมาน ความทุกข์สะสมมาเรื่อยๆ จนมาถึงขีดสุดเกินกว่าที่สติสัมปชัญญะของนางจะทนทานได้เมื่อ ฮัสซาร์นั้นพาผู้หญิงคนหนึ่งเข้าบ้าน และทำอะไรกันบนตียงนอนของแม่

ภาพตำตานั้นทำให้ซายีน่ากรีดร้องสุดเสียงและไม่รับรู้อะไรอีกเลย แม้แต่ลูกชายคนเดียวอย่างอัสมานยังจำไม่ได้ ความคิดของนางเฝ้าวนเวียนอยู่อย่างเดียว รอคอยว่าเมื่อไหร่สามีถึงจะกลับมารักตัวเองอย่างเดิม อาการซึมเศร้าทำให้ความคิดฆ่าตัวตายของนางมีอยู่ทุกขณะจิต

"ฮัสซาร์......"เสียงพึมพำของซายีน่าดังขึ้นแผ่วๆ พร้อมด้วยอาการสะอื้นฮักอย่างอ่อนแรง ดูเอาเถอะแม้

แต่วาระสุดท้ายของชีวิตกำลังจะมาถึง นางก็ยังละเมอชื่อของสามี ผู้ไม่เคยเอาใจใส่ตัวเอง

                "โธ่.....แม่ครับ"อัสมานครางลึกภายในลำคอ ความสงสารผู้เป็นแม่มีมากเท่าใด ความโกรธและเกลียดชังที่มีต่อผู้หญิงไร้ค่าที่ยอมเอาตัวเป็นเมียน้อยของคนอื่นยิ่งมีขึ้นเป็นทวีคูณ แม้ศาสนาจะอนุญาตให้ชาวอิสลามมีภรรยาได้ถึงสี่คนแต่พ่อของเขาก็ไม่เคยหยุด

                ดูเหมือนอายุจะไม่ใช่ปัญหาสำหรับนังผู้หญิงพวกนั้น เพราะพ่อของเขานั้นยิ่งแก่ยิ่งเนื้อหอม หอมเงินอย่างไรล่ะ

นับว่ายังดีที่ตั้งแต่แม่ป่วยด้วยอาการทางจิต พ่อของเขาก็ไม่พาผู้หญิงเข้ามาที่บ้านอีกแต่เลือกไปหาความสำราญยังนอกบ้านแทน อย่าให้เจอก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นนังพวกนั้นมันได้โดนดีแน่

"หมอมาพอดีครับ"ยูซุปคนสนิทของเขาวิ่งเข้ามารายงานพร้อมด้วยหมอประจำตัว ชายร่างท้วมวางกระเป๋ายาลงข้างตัวพร้อมกับตรวจดูอาการของคนเจ็บ

"ปลอดภัยแล้วล่ะครับ โชคดีที่คุณมาช่วยทันเวลา"หมอเงยหน้าขึ้นพร้อมระบายลมหายใจยาวเหยียดออกมาอย่างโล่งใจ

 อัสมานรักแม่มาก ใครๆก็ย่อมทราบดี หากแม่ซายีน่าเป็นอะไรไป อิทธิพลของอัสมาน ในตำแหน่งนักธุรกิจ เจ้าของบริษัทน้ำมัน ที่ถือเป็นเจ้าพ่อในวงการจนแม้แต่สุลต่านอย่างฮุลยาตยังต้องเกรงใจ คงจะทำให้ตำแหน่งหมอของเขาสั่นคลอนเอาได้ง่ายๆ

"แม่ครับ เป็นยังไงบ้าง เจ็บตรงไหนหรือเปล่า"ชายหนุ่มกระซิบถามและลูบศีรษะมารดาอย่างอ่อนโยนแตกต่างจากยามอื่นโดยสิ้นเชิง

เขาเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลา ใบหน้าออกเหลี่ยมนั้นดูคมเข้ม คิ้วหนาดกดำ ริมฝีปากบางเฉียบ เหมาะกันไปทุกสัดส่วนแต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดก็คือ ดวงตาคมดุ ประดุจดวงตาปีศาจที่พร้อมจะสังหารศัตรูที่มาเข้าใกล้แม้เพียงแค่ได้สบตาสีเหล็กคู่นั้น

ความทรงจำเลวร้ายในวัยเด็กทำให้อัสมานกลายเป็นชายหนุ่มผู้เย็นชา ไม่ศรัทธาในความรัก ผู้หญิงเป็นเพียงวัตถุชิ้นหนึ่งสำหรับเขา ที่สามารถซื้อมาหาความสำราญได้ด้วยเงินเท่านั้น

"ใคร......อ้อ.....อัสมาน"เสียงนั้นบอกแผ่วๆ แต่ชายหนุ่มก็ยังอุตส่าห์ได้ยิน หลายปีมาแล้วที่ซายีน่าไม่เคยเอื้อนเอ่ยชื่อของเขา อัสมานโผเข้ากอดร่างของมารดาแนบแน่น หยาดน้ำตาแห่งอารมณ์อ่อนไหวที่ซุกซ่อนอยู่ภายในหลั่งริน

"แม่จำได้แล้ว"ชายหนุ่มละจากอ้อมกอดของมารดาหันมาบอกหมอมูลราห์อย่างดีใจ ต่อให้ต้องแลกกับทุกอย่างที่มีเพื่อให้ผู้เป็นแม่หายดีแล้ว เขาก็ยินยอม

"นับว่าเป็นเรื่องดีมากครับ ผมจะให้พยาบาลมาดูแลอย่างใกล้ชิดมากขึ้น คิดว่าไม่นาน ความทรงจำต่างๆของคุณซายีน่าจะต้องกลับมา"หมอให้ความหวัง

"ขอบคุณมากหมอ ถ้าแม่ผมหายดี เมื่อไหร่ หมออยากได้อะไรขอให้บอก"อัสมานบอกขึ้น ก่อนจะมอบภาระหน้าที่ดูแลแม่ให้กับหมอและพยาบาลต่อไป

ตัวเขานั้นมีงานด่วนที่ผู้เป็นพ่อมอบหมายให้ดูแล ส่วนตัวเองนั้นไปเที่ยวต่างประเทศเพื่อหาความสำราญโดยไม่สนใจว่าซายีน่าผู้เป็นภรรยานั้นจะมีสภาพเป็นอย่างไร ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ฮัสซาร์บินไปบ่อยที่สุด อยากจะรู้เหมือนกันว่าที่นั่นมีอะไรดี!

*****************************************************************************************************

เสียงฝีเท้าเดินกลับไปกลับมาของมิกะทำให้ซายูริต้องวางหนังสืออ่านเล่นลงแล้วหันมามองยิ้มๆ เวลานี้จิตใจของเธอเย็นขึ้นมากแล้วจึงไม่กระวนกระวายอย่างมิกะ

"เป็นอะไรไปมิกะ ถูกกักบริเวณอยู่ในห้องมาหลายวันแล้ว นี่ยังไม่ชินอีกหรือ"

"เย็นสิ เย็นจนจะลวกเธอได้อยู่แล้ว ดูสิ ริเอะ....ได้ยินเสียงคนอื่นๆ เขากำลังแต่งตัวออกไปแสดงโชว์คืนนี้หรือเปล่า ฉันใจจะขาดแล้ว"

"เห็นและก็ได้ยินเหมือนๆ กับเธอนั่นแหละ แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ก็เราสองคนกำลังถูกลงโทษอยู่นี่นา อย่าคิดมากเลยน่า ดูอย่างฉันสิยังทำใจได้เลย มาดูนี่มา....."ซายูริลุกเดินจากเก้าอี้มาจูงมือของมิกะออกมายังริมหน้าต่างแล้วชี้ชวนให้ดูพระจันทร์เต็มดวงบนท้องฟ้า

"การเป็นเกอิชาเต็มตัว มันเป็นความฝันสูงสุดของพวกเรา ฉันรู้ว่าเธอเองก็เสียใจแล้วยังจะมีอารมณ์ชมพระจันทร์อีก"มิกะหน้ายุ่ง ซายูริยิ้มเย็น

"คนขายศิลปะอย่างเราก็ต้องมองทุกสิ่งทุกอย่างให้สวยงาม นี่อย่างไรล่ะเสียงลมพัดหวีดหวิว ทอประสานกับเสียงแมลงที่ร้องระงม พระจันทร์กลมโต ประดุจโคมทองที่จะส่องแสงสว่างนำทางให้เราเดินไปยังจุดหมายปลายทาง ดวงจันทร์ไม่มีวันดับ ตราบใดเราก็ยังมีความฝัน"หญิงสาวหลับตาพริ้ม ใช้สมาธิและหัวใจฟังสรรพสิ่งรอบกายอย่างผ่อนคลายไม่ร้อนรนอย่างมิกะ

"ชุดกิโมโนที่เราสองคนอุตส่าห์เลือกมา จะมีประโยชน์อะไรล่ะ ถ้าไม่มีโอกาสได้สวมใส่"มือเรียวของคนพูดลูบคลำชุดกิโมโนสีส้มสดกับโอบิสีเขียวเข้มและปิ่นปักผมประดับมุกอันใหญ่อย่างเสียดาย ซายูริเองก็เหลือบมองกิโมโนสีดำลายต้นหลิวของตัวเองอย่างเศร้าใจเช่นกัน

"เฮ้อ......การถูกขังอยู่ในห้องแบบนี้ ทำให้นึกถึงตอนเด็กๆ ที่เรา ทะเลาะกับเกอิชารุ่นพี่จนต้องถูกลงโทษเนอะ"ซายูรีบเปลี่ยนเรื่อง ก่อนที่หยาดน้ำตาของตัวเองจะไหลออกมาบ้าง

"ไม่ใช่ความผิดของเราสักหน่อย พี่ฮารินะ ต้องการจะแกล้งเรา"เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น เธอกับซายูริและไมกะรุ่นเดียวกันได้รับการฝึกอย่างหนัก ต้องคอยรับใช้เหล่าเกอิชารุ่นพี่งกๆ บางคนที่ไม่ชอบหน้าเธอทั้งสองอย่าง ฮารินะก็แกล้งใช้งานหนักๆ โดยไม่สั่งสอนวิชาอะไรให้เลย ตรงข้ามกับมารีนและเพื่อนของหล่อน ที่ฮารินะนั้นเฝ้าสอนทุกอย่างให้อย่างหมดเปลือก

"พี่ฮารินะ รุ่นพี่ขา......"เสียงร้องของมารีน ในวัยสิบเอ็ดปี ไมโกะรุ่นเดียวกัน ร้องตะโกนโวยวายขณะถือชุดกิโมโนราคาแพงของฮารีนะติดมือมาด้วย ฮารินะเองก็วางมือจากการชงชาสูตรใหม่ลงเมื่อได้ยินเสียงไมโกะคนโปรดร้องเอะอะ

"มีอะไร"ร้องถามแต่สายตาเหลือบมองชุดโปรดในมือของอีกฝ่ายเขม็ง มือเรียวรีบคว้ามันขึ้นมาดูอย่างสังหรณ์ใจ ดวงตาคู่งามนั้นสาวโรจน์ขึ้นอย่างน่ากลัว ริมฝีปากบางบิดโค้งตามแรงโทสะที่แล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆก่อนจะระเบิดออกมาเป็นเสียงกรีดร้อง

"ใครทำชุดกิโมโนของฉัน"

"นังสองคนนั่นค่ะ ซายูริกับมิกะ"มารีนรีบฟ้อง ฮารีนะกำมือแน่นสาวเท้าเร็วๆออกไปหาซายูริกับมิกะที่กำลังง่วนอยู่กับการตั้งหน้าตั้งตานวดแป้งในครัวกับยายเฒ่าคนครัว

"นังซายูริ"เสียงตวาดดังขึ้นจนสองเด็กหญิงสะดุ้งเฮือก เร็วเท่าความคิดเมื่อฮารีนะจิกผมของซายูริขึ้นมาจนหน้าหงายพร้อมกับระดมตบไม่ยั้ง ท่ามกลางความตกใจของทุกคน โดยเฉพาะมิกะที่อุตส่าห์เข้าไปช่วยจนถูกผลักกระเด็นไปจนศีรษะกระแทกเข้ากับข้างฝา

"อะไรกันคะ"ซายูริน้ำตานอง เงยใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตาและรอยบวมช้ำขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ แวบหนึ่งที่เธอแอบเห็นแววตาสาสมใจปรากฏขึ้นบนดวงตาของมารีน

"แหกตาดูนี่สิ ชุดนี้แกรู้ไหมว่ามันราคาเท่าไหร่ ฉันต้องทำงานชดใช้โอคาซังกี่ปี ถึงจะพอค่ากิโมโน"ฮารินะปาชุดสวยของเธอใส่หน้าอีกฝ่ายเต็มแรง

ซายูริงงงันหนักขึ้น รีบคว้าเสื้อตัวนั้นขึ้นมาดูอย่างตกใจ กิโมโนตัวสวยที่เธอได้รับมอบหมายให้ซักและพับเก็บเอาไว้ซึ่งเธอก็ทำมันแล้วอย่างเรียบร้อยทุกอย่างในสภาพปกติดี แต่ทำไมเวลานี้มันถึงได้ขาดรุ่งริ่งราวกับถูกไฟไหม้อย่างนั้น

"ฉันไม่รู้เรื่องนะคะ"ซายูริปฏิเสธปากคอสั่น

"ไม่รู้เรื่องแล้วเสื้อมันจะขาดอย่างนี้ได้ยังไง ฉันให้แกเอาไปซักให้แล้วมันก็มีสภาพอย่างนี้"ฮารินะเสียงดัง ความเสียดายชุดมีมากจนอยากจะบีบคอเล็กๆ นั่นให้ตายคามือ

"ฉันซักมันแห้งและพับมันเก็บในชั้นให้อย่างดีแล้วนะคะ"

"โกหก หลักฐานเป็นชุดขาดอยู่ในมือ เห็นตำตาอย่างนี้ยังจะมาปฏิเสธ"เสียงนั้นเป็นของมารีน ผู้วิ่งหน้าแป้นเอาหลักฐานนี้มาให้ดูก่อนใคร

"แต่ฉันเป็นพยานให้ได้นะคะ ฉันเป็นคนช่วยริเอะซักเอง"มิกะคลำศีรษะบวมโนตัวเองป้อยๆ แล้วรีบเสนอตัวเองเป็นพยาน

"ถ้าแกสองคนซักมันอย่างดีแล้วมันจะขาดอย่างนี้ได้ยังไง"

"ใช่.......แกจงใจจะแกล้งพี่ฮารินะใช่ไหม"มารีนชี้หน้า แววตาสะใจของอีกฝ่ายทำให้ซายูริต้องมองเขม็งอย่างจับผิด

"ใครเอาชุดนี้มาให้พี่คะ มารีนใช่ไหม"ซายูริร้องถาม มารีนอึกอักก่อนจะรีบปรับสีหน้าเมื่อเห็นสายตาของฮารินะมองมาที่เธอเช่นเดียวกัน

"ฉันเอาชุดของพี่โอชุนไปเก็บ แล้วเห็นชุดของพี่ฮารินะขาดก็เลยรีบถือมาให้ดู"มารีนเถียงกลับได้ทันควัน แม้น้ำหนักคำพูดจะดูไม่น่าเชื่อถือแต่เมื่อหัวใจมันลำเอียงอยู่แล้ว ฮารินะจึงเลือกที่จะเชื่อไมกะคนโปรดอย่างมารีนมากกว่า

"ฉันจะไปฟ้องโอคาซัง"ฮารินะบอกเสียงกร้าว ดังนั้นเมื่อเรื่องนี้ถึงหูของโอคาซัง ซายูริกับมิกะเลยต้องถูกลงโทษกักบริเวณและทำงานหนักเป็นการชดใช้ค่าเสียหาย เท่ากับราคาของกิโมโนชุดนั้น กว่าจะใช้ได้หมดก็เป็นเวลาเกือบห้าปีทีเดียว.,.............

"นึกแล้วยังเจ็บใจไม่หาย ครั้งนั้นเราสองคนถูกนังมารีนมันแกล้ง มาครั้งนี้เหตุการณ์ซ้ำรอยเดิมก็เกิดอีก แล้วก็เหมือนเดิม เราสองคนต้องถูกขังอยู่ในนี้"

"ไม่เอาน่า โอคาซังก็มีเหตุผลที่ต้องขังเรา ไม่อย่างนั้นใครจะเชื่อฟัง"ซายูริบอกอย่างเข้าใจ มิกะทำท่าจะเถียงแต่แล้วเสียงเอะอะที่ดังขึ้นมาจากทางด้านห้องแต่งตัวของคาเนดะก็ดังขึ้น

 เสียงนั้นบ่งบอกว่าจะต้องเกิดเรื่องร้ายแรงอะไรขึ้นอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นคนที่วางตัวด้วยกิริยาแช่มช้อยอย่างคาเนดะผู้เป็นโอคาซังของที่นี่คงไม่มีทางปล่อยเสียงกรีดร้องออกมาอย่างนี้แน่ๆ สองสาวรีบวิ่งไปทางประตูและแนบใบหูชิดเพื่อแอบฟังเหตุการณ์จากภายนอก

"ท้องเสียหนักอย่างนี้แล้วจะออกแสดงได้ยังไง รู้อยู่แล้วว่าคืนนี้จะมีงานแล้วยังจะกินอะไรแสลงเข้าไปอีก"นางคาเนดะโวยวายหนักยิ่งขึ้น เมื่อสองสาวในสำนักที่จะเปิดตัวคืนแรกในวันนี้มีอาการท้องเสียหนักจนต้องวิ่งเข้าห้องน้ำทุกชั่วโมง แล้วอย่างนี้การแสดงรำพัดที่จะจัดขึ้นจะมีใครขึ้นแสดง

"ไหวไหม"เพื่อนที่ร่วมแสดงรำพัดด้วยกันกระซิบถามอย่างวิตก หากมีตัวแสดงไม่ครบการร่ายรำนั้นจะสวยงามและครบองค์ประกอบได้อย่างไร

"ไหว......"เสียงนั้นแหบระโหยและพยายามจะลุกขึ้นแต่แล้วก็กลับนอนแบ็บลงไปใหม่ หลายคนที่มองลุ้นเลยต้องม่อยหน้าไปตามๆกัน

"ซายูริกับมิกะยังไงล่ะคะ"อีกคนหนึ่งโพล่งขึ้น ช่วยจุดประกายความหวังที่ริบหรี่ของคาเนดะที่มีเท่ารูเข็มให้ขยายกว้างขึ้น ไม่รอช้าเมื่อนางสาวเท้าไปยังห้องพักของซายูริ ไขกุญแจและผลักมันเปิดออกอย่างรวดเร็ว ทำให้ซายูริกับมิกะที่กำลังเงี่ยหูฟังแนบชิดกับขอบประตูนั้นหลบไม่ทัน ล้มระเนระนาดไปคนละทาง

"อะไรอีกล่ะ รีบไปอาบน้ำแต่งตัวเร็วเข้า"คาเนดะกวาดสายตามองสภาพเด็กในสังกัดอย่างระอาก่อนจะบอกขึ้นอย่างรีบร้อน

"คะ?"ซายูริเลิกคิ้วขึ้นถามอย่างไม่แน่ใจ เพราะถึงจะแอบฟังแต่ผนังหนาที่กั้นก็ทำให้ได้ยินไม่ชัดนัก ว่าพวกเขาคุยอะไรกันบ้าง

"ถ้าเจ้าสองคนยังชักช้าอีก คืนนี้ฉันจะไม่ให้ทำการแสดง"

"หมายความว่า?"มิกะตาโตแต่ไม่ทันได้ซักถามก็ถูกมือเรียวของซายูริลากออกไปยังห้องอาบน้ำทันที สองสาวผลัดเปลี่ยนกันอาบน้ำด้วยความสุขใจ

"ฉันยังไม่อยากจะเชื่อเลยนะริเอะ ว่าพระเจ้าจะเข้าข้างเราสองคนอย่างนี้"มิกะยังพึมพำไม่เลิกด้วยความตื่นเต้นจนกระทั่งมาถึงห้องแต่งตัวแล้วก็ตาม

"เธอพูดมารอบที่สิบแล้วมิกะ มาช่วยดูสายโอบิของฉันหน่อยสิ ว่ามันตรงดีไหม"ซายูริบอกขึ้นอย่างร่าเริง มิกะตรงเข้าผูกสายคาดโอบิสีเขียวสดนั้นให้เพื่อนรัก

ชุดกิโมโนสีดำที่ซายูริเลือก ช่วยขับผิวของหญิงสาวให้ขาวนวลผุดผ่องยิ่งขึ้น ผมยาวสลวยของเธอถูกเกล้าขึ้นสูงตามแบบฉบับของเกอิชาที่เรียบง่ายและมีเครื่องประดับตกแต่งน้อยกว่าตอนเป็นไมโกะ มิกะเสียบปิ่นปักผมรูปผีเสื้ออันใหญ่สองอันให้

"เฮ้อ......ใครจะรู้บ้างนะว่าภายใต้ความงามของเราต้องเจอกับอะไรบ้าง แค่ทรงผมของเราก็ต้องใช้เวลาเกล้าหลายชั่วโมง รวมเครื่องประดับแล้วก็หลายกิโล หากแก่ตัวไปเราคงจะต้องเป็นโรคอะไรสักอย่างแน่ๆ"ซายูริแตะมวยผมตัวเองขำๆ

"อย่ามัวแต่ขำทรงผมอยู่เลย หน้าเธอยังไม่ลงแป้งขาว มานี่เถอะฉันจะลงให้"มิกะที่แต่งตัวเสร็จแล้ว ดุนตัวเพื่อนรักให้นั่งลงบนโต๊ะ

มิกะเริ่มต้นลงแป้งขาวให้อย่างตั้งใจจนใบหน้านวลนั้นขาวผุดผ่อง ดูหลอกตา เสน่ห์ของเกอิชา การลงแป้งขาวเอาไว้เพื่อให้แขกที่มาไม่เห็นใบหน้าจริง นั่นยิ่งช่วยเร่งเร้าให้พวกเธอดูน่าค้นหายิ่งขึ้น

"ขนาดลงแป้งจนขาวจั๊ว มองไม่เห็นใบหน้าจริง เธอยังงามขนาดนี้เลยนะซายูริ ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง เริ่มต้นจากการเป็นไมโกะ ก้าวมาเป็น มินาราอิซัง จนวันนี้ใกล้จะได้เป็นเกอิชาเต็มตัว ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะ"มิกะมีสีหน้าชวนฝัน

"อืม......ฉันก็ดีใจ ต่อไปนี้ฉันจะตั้งใจเก็บเงินให้ได้มากที่สุด ฉันจะออกไปตามหาแม่"

"นึกว่าเธอลืมไปแล้วเสียอีกนะ"

"ถ้าฉันไม่อยากได้เงินเยอะๆ คงไม่ขายตัวเองมาที่นี่ เพราะฉะนั้นนอกจากความตายแล้ว ไม่มีอะไรมาขัดขวางความคิดของฉันได้หรอก อย่าลืมสิ แม่กับน้องยังรอฉันอยู่นะ"ซายูริว่าอย่างนั้นมาแล้ว มิกะเลยได้แต่ยิ้มอย่างเห็นใจ

ทั้งที่ในความจริงแล้ว อยากจะบอกอย่างที่ใจคิดเหลือเกินว่าแม่ของซายูริอาจจะไม่ได้ต้องการพบหน้าลูกสาวคนนี้เลยก็ได้แต่คำพูดที่หลุดรอดออกมาก็คือ

"จ้า......งั้นก็ตามใจเถอะ ดูรองเท้าฉันสิ สูงเกินไปหรือเปล่า มันทำให้ฉันเดินตัวแทบไม่ตรงแล้ว"มิกะผู้แสนจะช่างบน บ่นได้แทบทุกเรื่องแต่ซายูริก็ชินชากับนิสัยของเพื่อนเสียแล้วจึงได้ถอดของตัวเองออกแล้วเปลี่ยนให้ ขนาดของมันแทบจะไม่ต่างกันเลยแต่เจ้าตัวนั้นพอใจนักหนา

"คู่นี้ค่อยพอดีหน่อย"

"จ้ะ.....ฉันเองก็คิดอย่างนั้น"ซายูริส่ายหน้า

"นี่ รู้ไหมริเอะ ว่าทำไมโอคาซังจะต้องย้ำนักหนาว่าต้องให้พวกเราทาปากแค่ครึ่งเดียว"มิกะถามขึ้นด้วยความสงสัยและทุกครั้งที่อยากรู้อะไรเพียงแค่คิดคำถามขึ้นมา ซายูริก็สามารถไขข้อข้องใจให้ได้ทุกครั้งไปและครั้งนี้เธอก็ไม่ผิดหวัง

"การแต่งหน้าและการแต่งตัวของเกอิชาจะต้องแต่งหน้าให้ดูหนาเตอะเหมือนสวมหน้ากาก มันจะได้ดูเร้นลับเพื่อรอการเปิดเผยจากผู้ชายที่สามารถประมูลราคาพรมจารีของเธอได้อย่างไรล่ะ ทาริมฝีปากครึ่งเดียวเพื่อให้ดูคล้ายการเชื้อเชิญ ยิ่งถ้ามีการเผยให้เห็นไรผมเล็กน้อยจะทำให้หน้าดูเด่นขึ้น"

"เธอรู้มาจากไหนน่ะ"

"โอคาซังบอก เพราะว่าฉันเองก็เคยสงสัยมาก่อนเธอ"

"เฮ้อ......ใครกันนะบอกว่าเกอิชาเป็นกันง่ายๆ เที่ยวมาดูถูกพวกเราว่าขายเรือนร่าง เราไม่เหมือนกันกับพวกโออิรันสักหน่อย พวกนั้นให้เพราะขายแต่พวกเราให้เพราะความรักหรือความพอใจ"

"อย่าไปคิดมากเลย คนภายนอกจะมองพวกเราว่าอย่างไรมันไม่สำคัญหรอก แต่พวกราย่อมรู้ดีว่าราไม่เหมือนพวกโออิรัน ดูแค่โอบิสิ พวกเรามัดไว้ข้างหลังแต่พวกนั้นมัดไว้ข้างหน้าเพื่อง่ายต่อการถอดเข้าถอดออกวันละหลายครั้ง ทรงผมเราก็ไม่ต้องอลังการเท่า เท่านี้คนก็ดูออกแล้วล่ะ"

"ฮึ.......ถึงอย่างไรคนก็ชอบมองว่าเราขายเรือนร่างอยู่ดีเป็นเพราะเดี๋ยวนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน เกอิชาปลอมๆมีเกลื่อนเมืองเลยพลอยทำให้เกอิชาแท้อย่างพวกเราพลอยเสื่อมเสีย แต่จะว่าไปฉันก็ไม่คิดว่าจะมีใครมารักชอบเราจริงๆหรอกนะ อย่างดีพวกเราก็แค่หาดันนะมาอุปถัมป์ได้สักคน ไอ้จะหวังถึงเรื่องแต่งงานคงยาก"มิกะบอกขึ้นอย่างไร้ศรัทธาในรักแท้แต่ซายูริกลับส่ายหน้า

"ฉันเชื่อว่าสักวันพวกเราจะต้องเจอรักแท้ และฉันก็จะมอบพรมจารีที่ล้ำค่าเอาไว้รอเขา หากเขารักฉันจริง เขาจะต้องเชื่อใจฉัน"

"เธอนี่คิดอะไรไม่เหมือนคนอื่นอยู่เรื่อย"

"เพราะว่าพ่อกับแม่ก็เป็นคู่รักที่น่ายกย่อง แม่เป็นเกอิชาที่ได้แต่งงานกับดันนะอย่างพ่อยังไงล่ะ"ความเชื่อที่หยั่งรากฝังลึกในใจของซายูริยากที่ใครจะห้ามได้

"แต่ฉันจะมอบให้คนที่ประมูลราคาของมันได้มากที่สุด เรื่องอะไรจะเก็บให้คนที่เราไม่รู้ว่าจะเจอหรือเปล่า ฉันไม่อยากจะแห้งเหี่ยวจนไม่มีใครมาประมูล ไม่ต่างจากม้าแก่โง่ๆที่ไม่มีใครเขาอยากขี่"มิกะกล่าวขึ้น สองสาวสวยที่นิสัยแตกต่างแต่ความสัมพันธุ์แน้นแฟ้นยาวนาน

"หญิงสาวอย่างเราเมื่อแรกเริ่มก็เหมือนผืนแผ่นดินที่ยังใหม่ ยังน่าสนใจและน่าค้นหา เป็นดินแดนที่ทำให้พวกผู้ชายมีความตื่นเต้นและอยากจะสำรวจไม่มีที่สิ้นสุด ต่อมาก็กลายเป็นดินแดนที่ถูกสำรวจมาจนคุ้นทางกันดีแล้ว รู้งานและใช้ได้ในทันที และในเวลาต่องานเราก็คงจะเป็นดินแดนที่ถูกใช้งานมาจนลุ่ย หมดปุ๋ย หมดธาตุอาหาร เป็นที่ให้ต้นไม้เกิดได้แต่ไม่งอกงามและในวาระสุดท้ายเราก็คงจะเป็นแผ่นดินร้างที่ไม่อยากจะมีใครย่างกรายเข้ามาใกล้"ซายูริแค่นยิ้ม

เธอไม่มีทางที่จะมอบความรักให้กับผู้ชายที่มาเที่ยวสถานที่แห่งนี้ เพราะนั่นแสดงให้เห็นได้ว่าเขายอมละทิ้งครอบครัวเพื่อออกมาหาความสำราญนอกบ้าน ย่อมไม่ใช่คนที่เธอจะฝากชีวิตเอาไว้

"พร้อมหรือยัง"เสียงคาเนดะดังขึ้น ทำให้การสนทนาของเหล่าสาวๆจบลงและพร้อมจะออกแสดงในคืนแรกกับชีวิตเกอิชาเต็มตัว

"ไปเถอะ มิกะ"ซายูริจูงมือเย็นเฉียบของมิกะให้ออกเดิน คืนแรกของโชว์พวกเธอจะแสดงรำพัดกัน ทั้งที่ได้ฝึกซ้อมมาอย่างดีแล้วแต่ก็อดตื่นเต้นไม่ได้

"คืนนี้ ท่านคหบดีและเหล่าชีคทั้งหลายจากสหรัฐอาหรับดิลิยะห์จะมาที่นี่ เพราะฉะนั้นพวกเจ้าจะต้องต้อนรับให้ดีๆ พวกนี้น่ะตัวเงินตัวท้องทั้งนั้น เงินจากการขายน้ำมันมีมากมายจนสามารถซื้อสำนักเกอิชาของพวกเราไปไว้ที่บ้านได้อย่างสบาย"นางคาเนดะบอกขึ้นอย่างตื่นเต้น

 นานมาแล้วที่สำนักของเธอไม่ได้ต้อนรับแขกที่ร่ำรวยระดับโลกอย่างนี้ แต่แขกประจำของที่นี่ก็คงจะเป็นคหบดีฮัสซาร์ ที่แวะเวียนมาปีละหลายครั้งแต่ครั้งล่าสุดก็เมื่อปีที่แล้วและทุกครั้งที่มาเด็กๆของเธอก็มีกินมีใช้ไปหลายเดือน แจกเงินราวกับว่าตัวเขานั้นผลิตมันได้เสียเอง

เมื่อก่อนนี้สำนักเกอิชาใช่ว่าจะเป็นสถานที่ที่ใครๆจะเข้าออกกันได้ง่ายๆ โดยเฉพาะคนต่างชาติ แต่ภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่สองจบลง พวกคนต่างชาติโดยเฉพาะอเมริกันก็เข้ามาครอบครอง เป็นใหญ่

อารยธรรมตะวันตกหลั่งไหลเข้ามาแทนที่ประเพณีอันดีงามที่สืบทอดกันมา ผับบาร์ถูกเปิดขึ้นเกลื่อนเมือง เกอิชาหลายคนต้องผันตัวเองไปเป็นนางโชว์ตามสถานที่เหล่านั้นหรือไม่ก็เป็นโออิรันกันอย่างเปิดเผยแล้วอ้างตัวว่าเป็นเกอิชา

สำนักเกอิชาของนางคาเนดะจึงต้องปรับตัวรับคนต่างชาติให้เข้ามาใช้บริการ ไม่อย่างนั้นกิจการก็อาจจะต้องปิดตัวไปอย่างของคนอื่นๆ

 

ตอนที่ 4

เสียงดนตรีญี่ปุ่นหลากหลายชนิดแต่เน้นหนักไปที่ซามิเซน ดังขึ้นไปทั่วบริเวณโรงน้ำชา โคมไฟหลากสีถูกจุดไปทั่วทางเดิม แสงสว่างวอมแวม ดูลึกลับน่าค้นหา บรรดาแขกพิเศษในวันนี้ถูกกันเอาไว้เพียงแขกที่มาจากสหรัฐอาหรับดิลิยะห์ เท่านั้น

เหล่าสาวงามจากสำนักเกอชาที่ถูกจ้าง ออกมาร่ายรำพัดกันอย่างอ่อนช้อย งดงาม แต่ละคนเคลื่อนไหวตามจังหวะเพลงราวกับว่าพวกหล่อนไม่มีกระดูก มันดูโอนอ่อนและเอนเอียงไปตามทิศทางที่ถูกบังคับได้อย่างน่าอัศจรรย์ มือของพวกเธอกวัดแกว่งพัดเล็กๆ ในมือได้อย่างคล่องแคล่ว เหมือนจะเลื่อนหลุดแต่ไม่

เมื่อการแสดงจบลง พวกเธอก็ได้รับเสียงปรบมือดังดึกก้องและเงินรางวัลคนละหลายดอลล่าห์ นางคาเนดะเอ่ยแนะนำเด็กๆ ในสังกัดของเธอทีละคนให้แขกรู้จัก

"ไม่ได้มามาที่นี่ซะนาน สาวๆ สวยๆ ทั้งนั้นเลยนะ"ฮัสซาร์หัวเราะร่าพลางหันไปทางแขกที่ตัวเองเป็นคนพามาหาความสำราญที่นี่

"ว่าอย่างไรท่านอับบาล สมกับที่ต้องเสียเวลางานของท่านแวบออกมาหรือไม่"

"แน่นอน ไม่คิดเลยว่า สาวๆ นอกเหมืองของเราจะงดงามถึงเพียงนี้ ไอ้เราหรือก็หลงดูแต่ระบำเปลื้องผ้ากับระบำหน้าท้องเสียนาน มาดูระบำพัดอย่างนี้ค่อยกระชุ่มกระชวยหน่อย"

"นี่เป็นสาวๆที่เพิ่งออกงานครั้งแรกในคืนนี้เลยนะคะ เดิมทีคืนนี้จะจัดการประมูลพรมจารีของสาวๆ แต่เพื่อพวกท่านแล้ว ฉันเลื่อนงานวันนั้นออกไป"นางคาเนดะบอกขึ้นอย่างเอาใจ และส่งสายตาให้เด็กๆ ในสังกัดเริ่มต้นรินน้ำชาให้

"ดีมาก.....รับรองว่าคุ้มเชียวล่ะ รู้หรือไม่แขกที่มาในวันนี้คือชีคทั้งเจ็ดของสหรับอาหรับดลิยะห์เชียวนะ เมืองทะเลทรายที่ร่ำรวยด้วยน้ำมัน สิ่งที่ทุกประเทศอยากได้แต่พวกเราสามารถเอามันมาเททิ้งได้อย่างไม่เสียดาย"ท่านฮัสซาร์บอกขึ้นเป็นเชิงอวด คาเนดะแย้มยิ้มอย่างมีจริต

ซายูริหูผึ่ง เผลอวางกาน้ำชาลงกับพื้นเสียงดังจนคนอื่นๆต้องหยุดชะงักการสนทนาและหันมามองเธอเป็นตาเดียว คาเนดะหันมาขอโทษแขกของเธอพลางปรายตาดุๆไปหาซายูริ หญิงสาวรีบก้มหน้าขอโทษก่อนจะคลานเข้าไปรินน้ำชาให้อย่างอ่อนช้อย

"แทนคำขอโทษค่ะ นี่เป็นชาเขียวพิเศษ ที่เป็นสูตรเฉพาะของญี่ปุ่นแต่เป็นชาตำหรับโบราณค่ะ"ซายูริยกแก้วชาให้และชม้ายตามองอย่างยั่วเย้า แขกหลายคนในที่นั้นมองใบหน้างามหมดจดของซายูริอย่างสนใจ

"เจ้าชงชาเองเลยหรือ"

"วันนี้ฉันไม่ได้ชงเองหรอกค่ะ แต่ฉันเป็นคนสอนแม่ครัว ท่านเป็นคนอาหรับหรือคะ"สาวงามที่สวยที่สุดเอ่ยถามขึ้นอย่างนั้นทำให้ฮัสซาร์ละความสนใจที่จะดูการแสดงอย่างอื่น เขาเลิกคิ้วมองความสนใจใคร่รู้ของหญิงสาวด้วยความประหลาดใจ

"เจ้าสนใจเมืองของข้าหรือ"

"ค่ะ เมืองทะเลทรายทุกเมืองเป็นเมืองที่ฉันสนใจ สักวันฉันจะต้องเก็บเงินให้ได้มากพอที่จะไปที่นั่น"หญิงสาวบอกอย่างกระตือรือร้น ขยับไปจุดบุหรี่ให้ฮัสซาร์อย่างเอาใจ

"เพราะอะไรหรือ"

"แม่ของฉันเคยอยู่กับพวกชาวทะเลทรายค่ะ"

"ประเทศแถบทะเลทราย มีอยู่มากมาย นางอยู่ที่ไหนกันล่ะเผื่อว่าข้าจะรู้จัก"ฮัสซาร์ถามขึ้นอย่างเอ็นดู สาวน้อยนางนี้ทำให้หัวใจของเขากระชุ่มกระชวยได้มากกว่าคนอื่นๆที่เคยพานพบมา

"ฉันเองก็ไม่ทราบค่ะ แต่แม่เป็นคนเผ่าฟามาลย์ ท่านรู้จักไหมคะ"ซายูริลืมสิ้นถึงกิริยาอ่อนหวานที่คาเนดะพร่ำสอน หญิงสาวขยับเข้าไปใกล้พร้อมเขย่ามือของอีกฝ่ายจนคาเนดะที่มองมาเห็นเข้าพอดีต้องสำลักน้ำชาที่เพิ่งจะยกขึ้นดื่ม

"รินเหล้าให้ท่านฮัสซาร์สิจ้ะริเอะ อย่ามัวแต่ชวนคุยเพลิน"นางขยับเข้ามาใกล้ สายตาเป็นเชิงปรามนั้นทำให้ซายูริรู้สึกตัว

"ข้าชอบกินชาของเจ้ามากกว่า"

"เคยมีคนบอกว่าจุมพิตของสตรีนั้นหอมหวานและน่าลิ้มลองกว่าเหล้าองุ่น"ซายูริแก้เกมได้ทันท่วงที ฮัสซาร์ตบเข่าฉาดด้วยความพอใจกับถ้อยคำช่างยั่วนั้น

"หากข้าได้ลิ้มลองมันพร้อมกับเจ้า มันก็คงจะดีไม่น้อย"

"ท่านพูดเหมือนไม่เคยลิ้มรสของมันมาก่อนอย่างนั้นล่ะคะ"

"ไม่ปฎิเสธว่าเคยแต่เหล้าองุ่นชั้นดี ที่หมักจนได้ที่และยังไม่เคยมีใครได้เปิดมันออกดื่ม ข้ายังไม่เคยลอง"อีกฝ่ายก็ตอบโต้ได้ทันควัน

"การจะดื่มเหล้าองุ่นราคาแพงนั้นต้องจ่ายเงินมากมายแต่การดื่มสิ่งที่หอมหวานยิ่งกว่านั้นประเมินค่าแทบไม่ได้เลยนะคะ"ซายูริป้อนชาในถ้วยให้อย่างเอาใจ

มารยาหญิงมากมายที่ถูกพร่ำสอนถูกงัดออกมาใช้จนหมดแต่เมื่อคหบดีฮัสซาร์จะเอื้อมมือมาแตะตัวหญิงสาวก็กระเถิบตัวหนี เมื่ออีกฝ่ายชะงักมือ เธอจึงต้องฝืนยิ้มอย่างมีจริตพร้อมทำท่าเอียงอาย ความไร้เดียงสานั้นทำให้ฮัสซาร์แทบนั่งไม่ติด อารมณ์รัญจวนใจพลุ่งพล่านไปทั่วร่างกาย

"สองร้อยดอลล่าห์พอที่จะแลกเหล้าองุ่นของเจ้าได้หรือไม่"

"ได้แค่ชิมค่ะ แต่คงไม่พอดื่ม"ซายูริบอกอ่อนหวาน กรีดนิ้วออกไปรับธนบัตรหลายใบมาเก็บไว้แล้วเอี้ยวตัวมาใกล้

"หลับตาสิคะ"หญิงสาวกระซิบใกล้ๆหู แผ่วเบาราวกับสายลม ขนในกายของคนแก่คราวพ่ออย่างฮัสซาร์ลุกซู่ด้วยความรัญจวน เมื่อเขาหลับตาลงและรอคอยจุมพิตแสนหวานจากหญิงสาว ซายูริแย้มยิ้ม ใช้นิ้วนางวางแผ่วเบาลงข้างแก้มสากนั้นและเอื้อนเอ่ย

"สองร้อยดอลล่าห์คงได้แค่จิบ ไม่ใช่ดื่มค่ะ"เสียงกังวานของเธอราวกับมนตร์สะกดที่ช่วยให้ฮัสซาร์ไม่ขึ้งโกรธกิริยาหยอกเอินของหญิงสาว พ่อค้าอย่างเขาไม่เคยถูกใครเอาเปรียบเหมือนอย่างครั้งนี้มาก่อนเลย แต่ดูเหมือนหัวใจที่ยังหนุ่มแน่นของเขาจะเต็มใจอย่างที่สุด

"งั้นเท่าไหร่ถึงจะแลกได้"

"ข้อมูลของชนเผ่าฟามาลย์และร่องรอยของแม่ค่ะ"หญิงสาวต่อรอง

"ใครกันล่ะ แม่ของเจ้า"

"สาวงามเลื่องชื่อ หากท่านเคยมาที่นี่บ่อยๆ ต้องเคยเห็นนางบ้าง อาโออิ"ซายูริรีบบอก ฮัสซาร์นิ่งคิดอย่างตึกตรอง เขาจับจ้องใบหน้างามของซายูริ ที่มีส่วนคล้ายใครคนหนึ่งแล้วเขาก็นึกได้ในที่สุด

"ที่แท้ เจ้าก็คือลูกของนาง งามไม่แพ้กันจริงๆ มิน่าเล่าเจ้าถึงได้ทั้งสวย ทั้งช่างเจรจา ไม่ผิดกันเลย ลูกไม้ลูกนี้ช่างหล่นไม่ไกลต้น"ฮัสซาร์หัวเราะร่าหนักขึ้นอย่างพอใจ

เขาเคยทุ่มเงินซื้อตัวผู้หญิงคนนั้นเมื่อสิบปีก่อนแต่ก็ถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยแม้ว่าจะถูกโอคาซังลงโทษแค่ไหนนางก็ไม่ยินยอม

มาวันนี้เขาจะไม่ยอมพลาด ไม่ได้ลูกแต่ก็ได้แม่ที่มีความงามไม่แพ้กัน

ตอนที่ 5

"โอโห......"มิกะมองเงินเป็นปึกๆ ในมือของเพื่อนรักตาโต มันมากพอที่จะใช้จ่ายอย่างสุขสบายไปหลายเดือนทีเดียว

"มารยาสาไถยเหลือเกินนะ ไหนว่าไม่ขายตัว ไม่ขายเรือนร่างยังไงล่ะ แล้วทำไมแขกถึงยอมจ่ายเงินให้มากมายขนาดนั้น"มารีนเดินย่างกรายเข้ามาหาเรื่องหลังจากที่งานเลี้ยงเลิกรา

"ของอย่างนี้มันก็แล้วแต่ความสามารถ ฉันได้เงินมาแต่ก็ไม่ได้เสียอะไรสักอย่างแม้แต่การถูกเนื้อต้องตัว ไม่เหมือนเธอนี่ ได้ยินใครพูดมากันนะ มิกะ ว่ามารีนลงทุนจูบกับแขกทั้งที่ยังไม่ได้ผ่านการประมูลพรมจารีเพียงเพราะเงินไม่กี่ร้อยดอลล่าห์"

ซายูริเหน็บแนมเข้าบ้าง ตอนนี้เธอได้เป็นเกอิชาเต็มตัวแล้ว ไม่จำเป็นต้องสงบปากสงบคำเพราะกลัวการถูกลงโทษอย่างเมื่อก่อน

"แก......."มารีนกระทืบเท้าเร่าๆ ทั้งโกรธทั้งอายเมื่อเห็นหลายคนแอบหัวเราะเยาะเธอ หันไปหาฮารินะอย่างหาที่พึ่งแต่อีกฝ่ายก็กลัวโดนสวนกลับเลยต้องเงียบเอาไว้ก่อน เวลานี้มิกะกับซายูริไม่ใช่ลูกไก่ในกำมือที่จะรังแกได้ง่ายๆเสียแล้ว ดูเหมือนมันทั้งสองจะเป็นที่โปรดปรานของนางคาเนดะมากเสียด้วย เพราะซายูรินั้นหาเงินได้มากมายนักจากฮัสซาร์คหบดีใหญ่ผู้ร่ำรวย

ส่วนมิกะนั้นชีคของที่นั่นยังติดใจในการเอาอกเอาใจถึงขนาดว่าพรุ่งนี้เหมาชั่วโมงของมิกะจะพาไปชมดอกซากุระบานถึงชั่วโมงละหลายพันเยน

"พวกเจ้านี่ยังไงนะ ว่างเป็นไม่ได้ กัดกันอย่างกับหมา พอได้แล้วไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็เข้านอน พรุ่งนี้ยังมีงานต้องทำ ส่วนเจ้ามิกะกับซายูริ แขกทั้งสองท่านคือท่านอับบาลกับท่านฮัสซาร์จะพาตัวออกไปข้างนอก เอาใจท่านให้ดีๆ ล่ะ อย่างที่แม่สอนรู้รึเปล่า"นางคาเนดะบอกขึ้น

"อะไรกันคะ แล้วพวกฉันล่ะ"ฮารินะท้วงขึ้น

"แขกไม่ต้องการ จะให้ฉันยัดเยียดรึยังไงกัน"

"สมน้ำหน้า"มิกะขมุบขมิบปากบอกอย่างนั้นใส่มารีนกับฮารินะผู้ที่เธอแสนจะเกลียดชัง ไม่มีเสียงเล็ดรอดแต่คนถูกว่าก็รู้อยู่ดีถึงความหมายของมัน

"แก......"มารีนชี้หน้าอย่างขัดเคือง นางคาเดนะมองตามแต่ก็พบเพียงมิกะก้มหน้าลงรับคำสั่งอย่างสงบเสงี่ยมไร้พิรุธ

"หุบปากเสียทีเถอะมารีน อย่าให้รู้ว่ามีเรื่องอะไรกันอีก ฉันล่ะรำคาญใจจริง"คาเนดะส่ายหน้าก่อนจะเดินตัวปลิวออกไปนับเงินรายได้ของวันนี้อย่างสุขใจ คิดไม่ผิดแท้ๆที่วันนี้ให้สองสาวนั่นออกไปเปิดตัว เงินทองของพวกเผ่าทะเลทรายมีล้นเหลือกินทั้งชาติก็ไม่หมด

"ไปเถอะริเอะ คืนนี้ต้องนอนพักให้มากๆ ประเดี๋ยวจะหน้าแก่ เหมือนเกอิชาตกอับบางคน"มิกะบอกขึ้นลอยๆ จงใจกระทบกระเทียบอีกฝ่าย

"นังมิกะ!" ฮารีนะเดือดดาลสุดขีด ขยับจะเอาเรื่องแต่ซายูริรีบดึงตัวเพื่อนรักให้วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว มารีนรีบห้ามรุ่นพี่ไว้ไม่ให้ตาม เพราะกลัวจะเกิดเรื่องเกิดราวขึ้นมาอีก เพราะเท่านี้ในสายตาของโอคาซัง พวกเธอก็เป็นรองอยู่หลายช่วงตัว

 

เมื่อมาถึงห้องนอน สองสาวก็รีบไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า เพราะหากนางผู้เป็นเกอิชายังไม่ได้อาบน้ำเข้านอน เกอิชาฝึกหัดอย่างไมโกะก็ไม่สามารถจะเข้านอนก่อนได้ แต่เครื่องสำอางหนาเตอะที่พอกเอาไว้นั้น ต้องใช้เวลานานพอดูทีเดียวกว่าจะเช็ดออกหมดได้

มิกะลงมือเช็ดใบหน้าอย่างรวดเร็ว แต่ซายูรินั้นมีท่าทางเหม่อลอยอย่างเห็นได้ชัดเพราะสำลีที่เช็ดย่ำอยู่กับที่เป็นนานทีเดียว หญิงสาวย้อนคิดไปถึงถ้อยคำสนทนาของเธอกับคหบดีเฒ่าฮัสซาร์ เขาผู้ทำให้ความหวังและความฝันของเธอสว่างไสว

แม้ไม่ได้รัก แม้จะคิดรังเกียจแต่ถ้าเขาสามารถช่วยให้ความหวังในการพบแม่สักครั้งในชีวิตให้เป็นจริงขึ้นมาได้ เธอก็พร้อมจะมอบสิ่งล้ำค่าและหวงแหนที่สุดอย่างพรมจารีให้ด้วยความเต็มใจ

"คิดอะไรอยู่หรือ"มิกะวางสำลีลงแล้วหันมาถาม เสียงนั้นทำให้ซายูริถึงกับสะดุ้ง ก่อนจะหันมามองหน้าเพื่อนรักที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานานเขม็ง

"เราอยู่ด้วยกันมากี่ปีแล้วนะมิกะ"

"สิบปี ทำไมเหรอ"คนถูกถามเลิกคิ้ว ซายูริไม่ตอบแต่ดึงตัวอีกฝ่ายเข้ามากอดแนบแน่น ราวกับกลัวว่าจะไม่ได้เจอกันอีกอย่างนั้น

"เป็นอะไรริเอะ ท่าทางแปลกๆ"

"เปล่าหรอก แค่ถามดู เผื่อว่าวันหนึ่ง ฉันอาจจะถูกซื้อตัวไปอยู่ที่อื่น"หญิงสาวเอ่ยทั้งที่ยังกอดเพื่อนรักแนบแน่น

"หมายความว่ายังไง นี่ท่านฮัสซาร์ยื่นข้อเสนอกับเจ้าแล้วอย่างนั้นหรือ"มิกะผละตัวออกจากอ้อมกอดของเพื่อนรัก เลิกคิ้วถามด้วยความอยากรู้

"ยังหรอก ฉันแค่คิดเผื่อไว้"

"ไหนเธอว่าจะไม้ยอมมอบพรมจารีให้กับคนที่ไม่ได้รัก อย่าบอกนะว่าเธอรักเขาเข้าแล้ว ฉันไม่เชื่อหรอก"มิกะส่ายหน้า

"ทำไมล่ะ เขาก็เป็นผู้ชายที่ดูอบอุ่นดีออก"

"คิดจะทำอะไรน่ะ ริเอะ นี่คิดจะตามเขาไป เพราะอยากสืบเรื่องราวของแม่อย่างนั้นหรือ เขาเป็นคนยังไงเราก็ยังไม่รู้แล้วประเทศนั้นฉันก็เคยได้ยินมาว่าผู้คนจิตใจโหดร้ายนัก รักก็รักจริงแต่หากแค้นก็ฆ่าได้โดยไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด รักแรงเกลียดแรงจนน่ากลัว"มิกะเอ่ยเตือนด้วยความเป็นห่วง

"ฉันรับปากเขาแล้ว หากเขามีเบาะแสของแม่ ฉันจะยินยอม"ซายูริบอกด้วยสายตาแดงความมุ่งมั่น แต่มิกะนั้นไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง

"ฉันว่าเขาดูหลุกหลิกไม่น่าไว้ใจ"

"คิดมากน่า แล้วอีกอย่างเขาก็ยังไม่ได้เสนออะไรมาให้ฉันสักหน่อย ฉันแค่คิดเอาเองแล้วก็ถามเธอไปเท่านั้น ไปอาบน้ำแล้วนอนดีกว่า พรุ่งนี้เราสองคนต้องไปข้างนอกกับแขกนะ"

"อืม"มิกะค่อยสบายใจขึ้น แล้วทั้งสองก็จูงมือกันไปอาบน้ำด้วยกัน และต่างก็เข้านอน แม้มีเรื่องให้ต้องขบคิดแต่ไม่นานก็หลับสนิทด้วยความอ่อนเพลีย

***********************************************************************************************

อัสมาน ในชุดเสื้อคลุมยาวสีดำสนิท ทรงตัวอยู่บนหลังอูฐตัวโต นาวาแห่งทะเลทรายตัวโปรด มือซ้ายรวบบังเหียนเอวไว้ มือขวาถือเชือกหนังที่ถักเปียเป็นเกลียวหวดเข้ากับสะโพกของมันแรงๆ เร่งให้มันโหนทะยานสู่ดินแดนแห่งทรายเบื้องหน้า โดยมียูซุปคนสนิทขี่มันมาตามหลัง

การขี่อูฐในทะเลทราย ถือเป็นกิจกรรมยามว่างที่โปรดปรานของเขา แม้มีบ้านหลังใหญ่โตหรูหรา เปิดแอร์เย็นฉ่ำตลอดทั้งวันและคืน แต่น่าแปลกที่เขากลับพิสมัยการอยู่กระโจมร้อนๆ กลางทะเลทรายมากกว่า และความชอบของเขาก็พลอยทำให้คนสนิทอย่างยูซุปต้องพลอยยุ่งยากใจไปด้วย

"เร็วๆสิ ยูซุป ฝีมือของแกในการขี่อูฐ ทำไมมันถึงได้เหลาะแหละนักนะ"ชายหนุ่มส่งเสียงตะโกนผ่านสายลมที่พัดอื้ออึงมาเป็นระลอกไปหาคนสนิท ที่รีบควบเจ้าอูฐตามหลังมาอย่างเชื่องช้า อัสมานส่ายหน้าก่อนจะชะลอฝีเท้าอูฐลงรอคอย เป็นนานกว่าที่ยูซุปจะมาถึง

"โธ่......นาย เราเป็นคนทะเลทรายก็จริงนะขอรับ แต่ในเมื่อเรามีบ้านอยู่ในเมืองที่เย็นชุ่มฉ่ำใจ มีนังสาวใช้สาวๆ คอยปรนนิบัติ ทำไมนายจะต้องออกมาลำบากอย่างนี้ด้วย"ฝ่ายที่ตามหลังมาหอบแฮ่กๆ และบ่นตามหลังไปด้วย

อัสมานยิ้มเยาะก่อนจะควบนาวาแห่งทะเลทรายโหนทะยานออกไปต่อโดยไม่รอฟังเสียงร้องบอกให้รอคอยของยูซุป

"ถ้าเจ้าชนะข้าได้ ข้าให้รถยนต์เจ้าคันหนึ่ง ยูซุป"ชายหนุ่มเอี้ยวตัวมาบอก ยูซุปหูผึ่งเปลี่ยนจากท่าทางเงื่องหงอยเป็นกระปรี่กระเปร่าขึ้นมาทันที

"เร็วๆ เข้าเจ้าอูฐ ถ้าแกตามอูฐของนายข้าท่าน วันนี้ข้าจะเอาอาหารชั้นเลิศมาให้กินจนพุงกางเลย"ยูซุปต้มหัวเจ้าอูฐเบาๆ ก่อนสำทับ

และการแข่งขันก็เริ่มขึ้น เสียงเชือกหวดกับสะโพกของเจ้าอูฐดังมาเป็นระยะๆ จากทั้งสองคน อูฐแต่ละตัวเร่งฝีเท้ากันอย่างเต็มที่ตามแรงหวด ทิ้งเอาไว้เพียงฝุ่นทรายที่ฟุ้งตลบ กระจายไปทั่วบริเวณ ออกสู่ท้องทะเลทรายอันกว้างใหญ่ที่ไม่มีใครรู้ว่ามันสิ้นสุดลง ณ ที่ใด

เมื่อขี่เจ้านาวาแห่งทะเลทรายออกมาไกลเกินกว่าที่เคยมาแล้ว อัสมาสก็รั้งบังเหียนให้มันหยุดลงเมื่อพบกับภูเขาทรายแห่งหนึ่ง

ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีใครพบมันนัก เนื่องจากมันถูกซ่อนออกจากสายตาของคนเพราะมีภูเขาหินใหญ่ขวางกั้นเอาไว้

หากมองเผินๆ จึงดูเหมือนกับว่าเป็นภูเขาหินทรายที่แห้งแล้ง กันดาร แต่เมื่อผ่านเข้าไปยังซอกหลืบเล็กๆที่พอจะให้อูฐผ่านเข้าไปได้ ภายในกลับพบว่ามันเป็นแหล่งโอเอซิสขนาดย่อมที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยดงกระถินป่าและอินทผลัม

 อัสมานโบกมือให้ยูซุปที่ตามหลังมาห่างๆ เป็นสัญญาณให้เขาตามมา ในขณะที่ตัวเขานั้นออกคำสั่งให้อูฐยอบตัวลงและกระโดดลงจากตัวมันอย่างรวดเร็ว

"มีอะไรหรือครับนาย แค่ภูเขาหินสองลูก ด้านในก็คงทะเลทรายหรือกองหินที่แห้งแล้งปราศจากความมีชีวิตชีวาเหมือนอย่างที่อื่นๆ"

"เจ้าหลับตาแล้วลองฟังสิ แล้วบอกเราว่าได้ยินเสียงอะไร"อัสมานออกคำสั่ง ยูซุปทำตามแต่แล้วก็กลับส่ายศีรษะ เพราะนอกจากเสียงลมแล้ว เขาไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย

"นี่หูของเจ้าพิการหรืออย่างไรนะ ถึงไม่ได้ยินเสียงนกร้อง จมูกถึงไม่ได้กลิ่นน้ำ กลิ่นของสิ่งมีชีวิต ฉันอยู่ที่เดียวกับแก ฉันยังได้ยินเสียงต้นอินทผลัมลู่ลม เสียดสีกัน"น้ำเสียงของชายหนุ่มราบเรียบแต่สีหน้านั้นบอกความไม่สบอารมณ์กับความไม่เอาไหนของคนสนิท

"จริงด้วยขอรับ"คนสนิทบอกอย่างเอาใจทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว จมูกและหูของเขาก็ยังไม่รับรู้อะไรอยู่นั่นเอง

"เข้าไปข้างในเถอะ"ชายหนุ่มไม่รอช้ารีบ แทรกตัวเข้าไปในซอกนั้น ยูซุปมีท่าทางลังเล แต่ความกลัวเจ้านายก็มีมากกว่าจึงได้ตามหลังไปห่างๆอย่างระแวดระวัง

เมื่อเดินมาไม่ไกลนักก็พบว่าภายในนั้นเป็นโอเอซิสที่อุดมสมบูรณ์มาก เนื่องจากไม่ค่อยมีคนสังเกตเห็น ต้นอินทผลัมจึงออกลูกดกเต็มต้น บางต้นผลสีแดงสดของมันร่วงหล่นเต็มพื้น ช่วยเป็นอาหารของนกและสัตว์ทะเลทรายอื่นๆ

"ไม่น่าเชื่อเลยนาย ว่าในทะเลทรายแห้งแล้งจะมีโอเอซิสที่สวยงามซุกซ่อนอยู่"ยูซุปบอกอย่างตื่นเต้นก่อนจะปีนขึ้นไปเก็บอินทผลัมลูกงามๆ มาให้เจ้านาย

"คืนนี้เราจะพักกันที่นี่"อัสมานออกคำสั่ง สีหน้าของชายหนุ่มเวลานี้ผ่อนคลายอย่างที่สุด ความเครียดจากงานและอาการเจ็บป่วยของมารดาลดน้อยถอยลงไปแล้วในช่วงนี้ เขาจึงได้มีเวลาว่างมากพอจะออกมานอนค้างในทะเลทรายอย่างที่ใจต้องการได้

"พักที่นี่ก็ดีกว่ากลางทะเลทรายแห้งๆ "ยูซุปว่าขึ้นก่อนจะลงมือกางกระโจมสองหลัง สำหรับตัวเองและเจ้านายพักในคืนนี้ด้วยท่าทางกระตือรือร้นขึ้น อย่างน้อยมันก็ดีกว่าทุกที่ที่เคยพักมา

"ฉันอยากได้บ้านพักสักหลังที่นี่"จู่ๆเจ้านายของเขาก็บอกขึ้นทำเอายูซุปแทบสำลักน้ำที่เพิ่งยกขึ้นดื่มคลายเหนื่อย

"โธ่......นาย ที่นี่ไม่ใช่ที่ส่วนตัวของใครนี่ขอรับ"

"เราก็ไม่ได้จะครอบครอง แค่สร้างเอาไว้เวลาเราอยากมาพักผ่อน ถ้าเผื่อมีใครผ่านมาเห็นอยากจะพักบ้างเราก็ไม่ขัดข้อง ไปจัดการตามที่สั่ง"ชายหนุ่มยักไหล่แล้วล้มตัวลงนอนบนโขดหินใกล้ๆแหล่งน้ำ สอดแขนหนุนศีรษะแทนหมอนแล้วหลับตาลงด้วยความผ่อนคลาย

สองสามวันมานี้แม่ของเขาอาการดีขึ้นมาก ไม่คลุ้มคลั่งและร้องหาความตายอย่างทุกครั้งที่ผ่านมา ถึงแม้จะเพ้อถึงฮัสซาร์ผู้เป็นสามีบ้างก็ถือว่าไม่หนักหนา

ครั้งสุดท้ายที่พ่อของเขามาเยี่ยมแม่ ผ่านมานานถึงสองเดือนแล้ว ตามธรรมเนียมของอิสลาม ที่อยู่ของบุรุษกับสตรีจะแยกกันชัดเจนแม้ว่าจะเป็นสามีภรรยากันแล้วก็ตาม ข่าวล่าสุดจากลูกน้องบอกว่าพ่อของเขาพาคณะชีคต่างๆ ออกไปหาความสำราญกันไกลถึงญี่ปุ่น

เขาพยายามทุกทางเพื่อจะไม่ให้แม่รู้เรื่องนี้ เพราะกลัวจะกระทบกระเทือนถึงจิตใจ ถ้อยคำโกหกปั้นแต่งมากมายที่สรรหามาบอก ล้วนแล้วแต่กล่าวถึงความทุกข์ยากในการทำงานของฮัสซาร์จนทำให้ไม่มีเวลามากพอที่จะมาเยี่ยมเยียนภรรยา

ถ้อยคำหลอกลวงแต่เพื่อความสบายใจของมารดา เขาก็จำเป็นต้องทำ

"นายท่าน........ดื่มกาแฟร้อนๆก่อนนะขอรับ"ยูซุปรินกาแฟจากกาอลูมิเนียมลงในถ้วยแล้วคุกเข่ายื่นให้ผู้เป็นเจ้านาย ซึ่งก็รับมันมาจิบอย่างพอใจ

"อากาศเย็นๆอย่างนี้ หากได้ไวน์สักขวดคงจะดี"

"อากาศเย็นๆ แบบนี้กระผมว่าควรจะมีนารีสวยๆสักคนสองคนมาคอยบีบนวดต่างหากล่ะขอรับถึงจะดี"ลูกน้องคนสนิททำท่าเพ้อฝัน อัสมานแสยะยิ้มเย้ยหยัน

"หากต้องแลกระหว่างเหล้าแค่แก้วเดียวกับผู้หญิง เราคิดว่าเหล้าแก้วนั้นมีค่ามากกว่าหลายเท่านัก เหล้ายิ่งนานยิ่งล้ำค่า แต่ผู้หญิงยิ่งนานวันก็เหมือนกับสารพิษที่ไม่มีใครอยากเข้าใกล้"

"นายพูดเหมือนไม่ชอบผู้หญิง"ยูซุปหรี่ตามองเจ้านายอย่างจับผิด ไม่ไว้ใจเลยถูกยันแรงๆที่ยอดอกจนหน้าหงาย

"นี่คือรางวัลของความคิดสกปรกของแก"

"ขอโทษขอรับนายท่าน"ยูซุปก้มหน้างุด ลืมตัวไปว่าคนอย่างเจ้านายของเขาล้อเล่นได้ที่ไหน ชีวิตของชายหนุ่มผู้นี้เคร่งขรึม เย็นชาจนน่าเสียดาย

"ข้าไม่ได้วิปริตอย่างที่ใครเขาพูดๆ กันหรอก แต่ผู้หญิงมากมายที่เห็นทำให้เราไม่ศรัทธาในความรักของพวกหล่อนเสียแล้ว พวกหล่อนรักเงินมากกว่าคุณค่าของคนเสียอีก"ชายหนุ่มแค่นเสียง ยูซุปหันไปปูผ้าลงกับพื้นทรายและวางอาหารมากมายที่เอามาด้วยลง

"นั่นเพราะนายท่านยังไม่เจอกับความรัก เมื่อได้เจอแล้วต่อให้นางคนนั้นเป็นเพียงแค่หญิงคณิกา เราก็ยังจะเต็มใจรัก"ยูซุปเถียงขึ้น เมื่อเห็นว่าตัวเองอยู่ห่างจากรัศมีรอยเท้าของเจ้านายหนุ่มมาพอสมควรแล้ว อัสมานหยิบขนมปังขึ้นกัดแล้วพ่นออกมาพร้อมกับบอกขึ้น

"ผู้หญิงก็เหมือนขนมปังมากมาย ราคาถูก หาได้ง่ายตามท้องตลาด ใช้ขบเคี้ยวเล่นแต่เมื่อพบว่ามันไม่อร่อยแล้วเราก็พร้อมจะคายทิ้งได้อย่างไม่เสียดาย"

"แล้วคุณหนูยะนีระห์เล่าขอรับ เป็นขนมปังด้วยหรือไม่"ยูซุปย้อนถามถึง ยะนีระห์บุตรของคหบดีโยฮานและนางนลิดีห์ เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของซายีน่ามารดาของชายหนุ่ม ที่นางหมายมั่นปั้นมือนักหาที่จะให้ลูกชายเพียงคนเดียวได้เป็นดองกันแต่ก็เกิดเสียสติขึ้นมาเสียก่อน

"นางเป็นผู้หญิงที่ดี เรียบร้อย ถึงเป็นขนมก็เป็นขนมชั้นดีที่ควรค่าแก่การถนอมเก็บเอาไว้กินนานๆ"ชายหนุ่มบอกขึ้น

ใจนึกไปถึงสาวน้อยหน้าหวานที่ผู้เป็นมารดาของเขารักนักหนา เมื่อครั้งที่ยังสติดีอยู่ครบถ้วนนั้นนางซายีน่ามักจะพาเขาไปเยี่ยมครอบครัวของยะนีระห์เป็นประจำ เพื่อหวังให้ลูกชายได้ผูกสัมพันธ์กับสาวน้อย ธิดาคนเดียวของเพื่อนรัก

แต่เมื่อนางถูกความเจ็บช้ำจากพฤติกรรมของสามีเข้าเล่นงานจนสติสัมปชัญญะหลุดลอย ประกอบกับนางนลิดีห์ได้เสียชีวิตลงและสาวน้อยหน้าหวานคนนั้นก็ถูกบิดาส่งไปศึกษาวิชาการเรือนยังประเทศเจริญแล้วและขึ้นชื่อทางด้านการอบรมสตรีอย่างฝรั่งเศสเพื่อให้มีความเป็นกุลสตรีงดงามทุกย่างก้าว

จากนั้นมาอัสมานก็ยังไม่มีโอกาสได้พบกับหญิงสาวคนนั้นอีกเลย รู้แต่ว่าบิดาของยะนีระห์แต่งงานใหม่กับหญิงหม้ายลูกติดคนหนึ่ง ทำให้ยะนีระห์โกรธแค้นผู้เป็นบิดามากและไม่ยอมกลับมาบ้านอีกแม้จะเรียนจบมาหลายปีก็ตาม

"นึกว่านายท่านจะชมผู้หญิงไม่เป็น"

"นางหัวอกเดียวกันกับฉัน คหบดีโยฮานเพียงแค่เมียตายไม่ถึงเดือนก็รับเอาเมียใหม่มาอยู่ด้วย ช่างไม่คิดเลยว่าลูกสาวจะคิดอย่างไร ม่ายลูกติดซะด้วย"

"ผมคงจะดีใจ หากนายท่านยอมมีคนรักซะที ที่กระผมพูดถึงคุณยะนีระห์วันนี้ก็เพราะทราบมาว่าเธอยอมกลับมาจากฝรั่งเศสแล้ว เพราะคหบดีป่วยหนัก"

"อย่างนั้นหรือ พอป่วยแล้วนึกถึงลูกขึ้นมาทันที ทีอย่างนี้ทำไมไม่นึกถึงนังเมียน้อยคนนั้นเล่า"อัสมานนึกถึงสาวน้อยยะนีระห์อย่างสงสาร แต่เขาไม่แน่ใจนักว่าตัวเองคิดอย่างไรมากไปกว่านี้หรือไม่ เขาแทบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำหากยูซุปจะไม่พูดถึงนางขึ้นมา

 แต่อย่างน้อยยะนีระห์ก็ทำให้เขารู้สึกว่าในโลกใบนี้ยังพอมีผู้หญิงที่ดีๆ หลงเหลืออยู่บ้าง

"หากนายหญิงได้เจอเธอ คงจะดีใจ และจะดีใจหนักมากยิ่งขึ้น หากนายท่านกับคุณหนูยะนีระห์จะรักใคร่ชอบพอ"ยูซุปเริ่มต้นการเป็นพ่อสื่อขึ้นมาทันที

"เอากาแฟมาอีกถ้วยเถอะ"ชายหนุ่มรีบเปลี่ยนเรื่องหันไปดื่มกาแฟขมๆ ถ้วยนั้นเป็นการตัดบทสนทนาและฉวยขนมปังชิ้นใหม่เข้าปาก สีหน้าเรียบเฉยแต่แววตาครุ่นคิด อย่างน้อยเจ้าลูกน้องผู้แสนจะพูดมากก็พูดถูก ซายีน่าคงจะดีขึ้นหากได้พบกับยะนีระห์

**************************************************************************************************

                รถยนต์คันหรูราคาแพงของอัสมานโดยมียูซุปเป็นคนขับแล่นเข้ามาจอดยังหน้าคฤหาสถ์หลังงามของคหบดีโยฮาน และผู้ที่ก้าวลงมาจากรถก็คือชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของ ตามติดด้วยซายีน่าผู้เป็นมารดาที่วันนี้แต่งตัวงดงาม สีหน้านั้นหรือก็เบิกบานสดใส

นานมาแล้วที่นางไม่ยอมออกมานอกบ้านแต่เพราะได้ยินว่าลูกชายจะพามาพบกับยะนีระห์ลูกสาวของเพื่อนรัก นางจึงได้ตื่นเต้นนักหนา ให้สาวใช้แต่งตัวให้ตั้งแต่เช้ามืด

"เชิญขอรับ ท่านคหบดีกับคุณหนูรออยู่ด้านใน"พ่อบ้านประจำของคฤหาสน์หลังนี้วิ่งออกมาต้อนรับด้วยท่าทางนอบน้อม

"รีบไปเถอะลูก แม่คิดถึงยะนีระห์"ท่าทางกระตือรือร้นของซายีน่าทำให้ชายหนุ่มอมยิ้ม ก่อนจะจูงมือมารดาเดินเข้าไปยังด้านในห้องโถงใหญ่อย่างทนุถนอม

"ท่านป้า"ยะนีระห์รีบลุกจากโซฟารับแขกออกมาหา เธอเอื้อมมือไปจับปลายมือของซายีน่ามาแตะที่หน้าผากพร้อมกับย่อตัวลงแล้วโผเข้ากอดอีกฝ่ายแนบแน่น

"หลานยะนีระห์ ไม่ได้เจอกันนานหลายปี สวยขึ้นเป็นกองเลย"ซายีน่ายิ้มแย้ม เชยคางหญิงสาวตรงหน้าขึ้นมองอย่างยินดี ก่อนที่นางและบุตรชายจะหันไปทักทายคหบดีโยฮานที่พอลูกสาวกลับมาอยู่ด้วยอาการป่วยก็ดีวันดีคืนจนสามารถลุกออกมาจากเตียงได้

"ต้องขอโทษที่ไม่มีเวลาไปเยี่ยมเธอเลยซายีน่า"เจ้าของบ้านบอกขึ้น นางซายีน่าเพียงแต่ยิ้มน้อยๆ ไม่พูดอะไรมากไปกว่านั้นเพราะยังขัดเคืองกับสามีของเพื่อนรัก ที่นลิดีห์ตายไปไม่นานก็เอาเมียใหม่มาอยู่บ้านเสียแล้ว หากวิญญาณของเพื่อนรักรู้เข้าจะรู้สึกอย่างไร

"จำพี่ชายคนนี้ได้หรือไม่จ๊ะหลานรัก"นางซายีน่าจูงมือสาวน้อยให้ไปใกล้บุตรชาย

"จำได้ค่ะ พี่อัสมานยังดูดีไม่เปลี่ยนแปลง"สาวน้อยอ้อมแอ้มตอบไม่เต็มเสียงเพราะมัวแต่ก้มหน้างุดด้วยความเขินอายกับดวงตาสีเหล็กคู่นั้น

"เจ้าก็เหมือนกันยะนีระห์ สวยและงามสง่าเหมือนเดิม"ชายหนุ่มมองกิริยาเอียงอายของสาวน้อยตรงหน้าอย่างเอ็นดู

 ผู้หญิงเรียบร้อย อ่อนหวานไปทุกสัดส่วนอย่างนี้กระมังถึงจะเหมาะที่จะเป็นภรรยาของเขา แต่น่าแปลกที่ในใจของเขานึกถึงแต่ความเหมาะสมแต่ลืมนึกถึงความรักไปเสียสนิท

ทั้งสี่คนสนทนากันบนโต๊ะอาหารอย่างถูกคอ อาหารมากมายตรงหน้าล้วนแต่ราคาแพง สั่งตรงมาจากโรงแรมชั้นดีทุกวัน อาหารมากมายราวกับจะเลี้ยงคนทั้งกองทัพแต่ผู้รับประทานกลับตักมันมาทานอย่างละนิดละหน่อยอย่างน่าเสียดายแทนคนที่กำลังอดอยาก

เสียงรถแล่นเข้ามาเร็วๆและเบรกกะทันหันตามแรงอารมณ์คึกคะนองของผู้ขับ ตามมาด้วยเสียงเอ็ดตะโรของผู้ที่นั่งรถมาด้วยทำให้คนบนโต๊ะอาหารต้องหยุดชะงัก อัสมานสังเกตเห็นยะนีระห์ทำคอแข็งๆ ขึ้นมาทันทีพร้อมกับปรายตาไปมองบิดาอย่างไม่พอใจ

"ลูกเลี้ยงของท่านพ่อ ช่างไร้มารยาทยิ่งนัก"

"น้องคงไม่ตั้งใจหรอกลูก"โยฮานแก้แทน และเมื่อการีมกับราริณีผู้เป็นแม่เดินเข้ามาในบ้าน ชายสูงวัยจึงรีบกวักมือเรียก การีมเดินเข้ามาอย่างองอาจผิดกับราริณีผู้เป็นแม่ที่เพียงเยื้องย่างเดินช้าๆ อย่างเรียบร้อยตามหลังบุตรชายมาห่างๆ

"อัสมาน นี่คือการีมลูกชายอีกคนของลุง และนี่ราริณีแม่ของการีม"โยฮานแนะนำ ราริณีย่อตัวลงทำความเคารพอย่างอ่อนน้อมแต่ซายีน่าเพียงแต่ปรายตามองแล้วเชิดหน้าขึ้นตามอย่างยะนีระห์ นางเกลียดผู้หญิงทุกคนบนโลกใบนี้ที่มีความคิดจะเป็นเมียน้อยของคนอื่น

นังคนนี้เธอจำมันได้ดี เพราะนลิดีห์เพื่อนรักนำความทุกข์เรื่องสามีนอกใจมาเล่าสู่เธอฟัง เธอกับเพื่อนรักหัวอกเดียวกัน

เธอแค่เป็นบ้าไปชั่วคราวแต่นลิดีห์ถึงขั้นตรอมใจตาย นังคนนี้เคยเป็นคนรักเก่าของโยฮานแต่เขาก็จำต้องมาแต่งงานกับนลิดีห์เพราะความเหมาะสมของชาติตระกูลและที่สำคัญราริณีเป็นคนต่างชาติ ทำให้ครอบครัวของเขาไม่ยอมรับจนเมื่อนลิดีห์ตายไป นางคนนั้นจึงเข้ามาแทนที่

"ไม่ได้เจอกันนานนะคะคุณซายีน่า"อีกฝ่ายบอกยิ้มแย้มด้วยความเป็นมิตรแต่ซายีน่าไม่ตอบคำถาม ในใจอยากจะโต้ตอบให้เผ็ดร้อนแต่ยังมีความเกรงใจเจ้าของบ้านอยู่จึงได้ยั้งปากเอาไว้ได้ทัน ส่วนยะนีระห์นั้นรวบช้อนทั้งที่เพิ่งรับประทานได้ไม่กี่คำ

"หลานว่าเราออกไปนั่งข้างนอกเถอะค่ะ ท่านป้า พี่อัสมาน บรรยากาศของที่นี่ชักจะไม่ดี หลานไม่ชอบอากาศสกปรกเหมือนอย่างวันนี้"ยามเมื่อมองผู้เป็นแม่เลี้ยง สายตาของสาวน้อยเปลี่ยนจากความอ่อนหวาน มาเป็นกระด้างและเกลียดชัง

อัสมานนั้นเข้าใจดี เพราะหากเปลี่ยนเป็นเขาแทนยะนีระห์ ผู้หญิงคนนั้นคงไม่มีโอกาสได้เข้ามาลอยหน้าอยู่ในบ้านเป็นแน่

"ครับ"ชายหนุ่มรับคำพลางแตะแขนมารดาให้ลุกขึ้น การีมแสยะยิ้มให้อย่างนึกชัง พวกผู้ดีถือว่าตัวเองเกิดในตระกูลสูงอยากจะพูดจาดูถูกใครเขาก็ได้

สักวันหนึ่งเถอะเขาจะทำให้ไอ้คอที่ตั้งอยู่บนบ่าสวยๆของแม่สาวน้อยหน้าหวานนั่นยอมมาซบอยู่กับอกเขา เมื่อเจรจาดีๆไม่ได้ ก็ต้องใช้กำลังในการเจรจา

เมื่อออกมาทานน้ำชากันที่สวนหลังบ้าน ยะนีระห์ซบใบหน้าลงกับอ้อมกอดของซายีน่าพร้อมกับร่ำไห้ด้วยความเจ็บใจ

"ใจเย็นๆเถอะหลานรัก"

"ดูเถิดค่ะ ท่านป้า ท่านพ่อพามันสองคนเข้ามาอยู่ในบ้านด้วยยังไม่พอ เงินทองและข้าวของก็ปรนเปรอให้มันสองคนมากมาย ดูก็รู้ว่านังคนนั้นมันรักเงินมากแค่ไหน"

"ป้าก็คิดอย่างนั้น ผู้ชายก็อย่างนี้แหละหลาน เอ่อ.....แต่ยกเว้นพี่อัสมานนะจ๊ะ"ซายีน่ารีบบอกก่อนจะขยิบตาให้กับบุตรชายซึ่งชายหนุ่มก็ทรุดตัวลงนั่งเคียงข้างและปลอบใจเธอ

"หากทนอยู่ไม่ได้ก็ให้ท่านลุงสร้างบ้านใหม่ให้สักหลังสิยะนีระห์"

"อย่างนั้นก็เท่ากับว่ายะนีระห์แพ้พวกมันน่ะสิ ไม่ได้หรอกจะอยู่ห่างๆ ให้พวกมันมาชุบมือเปิบกับสมบัติที่เป็นของยะนีระห์ได้อย่างไร"นางซายีน่าบอกขึ้น อาการเสียสติหายไปแล้วเกือบหมด แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนไปเลยก็คือ ความอยากเอาชนะและความเกลียดชังที่มีต่อผู้หญิงพวกนั้น

"จริงของท่านป้าค่ะ แต่เวลานี้หลานไม่อยากเห็นหน้ามันสองแม่ลูกแม้แต่วินาทีเดียว"สาวน้อยกำมือแน่นด้วยความขัดเคือง

"ถ้าอย่างนั้นก็ให้พวกเขาเป็นคนย้ายออกไป ต่างคนต่างอยู่"ชายหนุ่มแนะนำ

"หึ......พวกมันคงไม่ยอมง่ายๆ รู้ไหมคะท่านป้า ว่าหลานให้คนไปสืบดู นังคนนั้นมันมีที่มาที่ไปอย่างไร มันเป็นหญิงต่างชาติ เป็นพวกเกอิชาค่ะ อดีตนางโลมที่ทิ้งลูกทิ้งสามีของตัวเองเพื่อมาอยู่กับพ่อ แล้วอย่างนี้จะให้ลูกเชื่อว่ามันรักท่านพ่อจริงอย่างที่พร่ำบอกหรือคะ"

"ตายจริง! "นางซายีน่าตบอกผางด้วยความตกใจแกมรังเกียจ ไม่นึกเลยว่าชายที่เกิดในตระกูลผู้ดีอย่างโยฮานจะใฝ่ต่ำจนถึงขั้นรับเอาหญิงนางโลมมาเชิดชูถึงในบ้าน ถึงฮัสซาร์ สามีของนางจะเจ้าชู้แต่ก็คงไม่ใฝ่ต่ำถึงเพียงนั้น

"งั้นก็เชื่อเถอะ ว่านังนั่นจะไม่มีวันรักท่านลุงจริง"อัสมานเองก็แค้นยิ้มอย่างดูถูกเช่นเดียวกัน ความร่ำรวยและความสุขสบายตั้งแต่เกิดมาของพวกเขา ทำให้ไม่รู้ว่าบางครั้งคนเราก็เลือกเกิดไม่ได้ ความลำบากและยากจนก็ทำให้หลายคนต้องยอมทำอาชีพที่สังคมสูงส่งอย่างพวกเขาไม่ยอมรับ

"เอาอย่างนี้ดีกว่า หากยังไม่สบายใจไปพักที่บ้านของป้าก่อน ดีไหมจ๊ะลูก อัสมาน"ซายีน่าบอกยิ้มแย้ม แต่ชายหนุ่มแทบสำลักน้ำที่ดื่มเข้าไป

"ท่านลุงจะยอมหรือครับ"อัสมานบอกขึ้นอย่างไม่สบายใจ เขาคงไม่ชินหากจะต้องมีสตรีอื่นที่ไม่ใช่มารดาอยู่ร่วมกันในบ้าน

"ท่านพ่อไม่มีสิทธิ์มาห้ามหรอกค่ะ ในเมื่อหลานเองก็ยังห้ามท่านพ่อเรื่องนังคนนั้นไม่ได้"ยะนีระห์บอกขึ้นอย่างดีใจ ที่จะได้มีโอกาสใกล้ชิดกับชายหนุ่มรูปงามแถมยังชาติตระกูลสูง เป็นที่หมายปองของสาวๆไปทั่วเมืองอย่างอัสมาน

เข้าไม่ใช่คนเย็นชาอย่างที่นักข่าวหรือแม้แต่ใครๆ กล่าวขวัญถึงเลยสักนิด เธอรู้ดี เขามีเลือดเนื้อ มีจิตใจ ที่พร้อมจะมอบให้กับคนที่เขารักเพียงคนเดียว ดวงตาสีเหล็กของเขาบอกกับเธออย่างนั้น

 
Link to Post    -Back to Top

Bookmark and Share

กรุณาเข้าสู่ระบบหรือสมัครสมาชิกก่อนโพสข้อความค่ะ
»
คลิ๊กที่นี่
Advertising Zone    Close
 
 
 
 
 
 
Online:  2
Visits:  57,684
Today:  24
PageView/Month:  34

ยังไม่ได้ลงทะเบียน

เว็บไซต์นี้ยังไม่ได้ลงทะเบียนยืนยันการเป็นเจ้าของเว็บไซต์กับ Siam2Web.com