สำนักพิมพ์ ปัณณ์รัก : มอบหัวใจให้คุณ

 
 
 
 
 
Started by Topic:    ทัณฑ์รัก......เกอิชา ตอน 1-3 ฉบับแก้ไข  (Read: 789 times - Reply: 0 comments)
 
yuparut

Posts: 7 topics
Joined: 22/5/2553

ทัณฑ์รัก......เกอิชา ตอน 1-3 ฉบับแก้ไข
« Thread Started on 22/6/2553 19:12:00 IP : 110.49.8.135 »
 

ทัณฑ์รัก.....เกอิชา

บทนำ

                ค.ศ 1975
         แสงแดดแรกแห่งวันทอผ่านพ้นแมกไม้ออกมาให้เห็นรำไร แสงขาวนวลนั้นช่วยอาบไล้หิมะขาวโพลนที่ร่วงหล่นเต็มพื้นดินนั้นให้ระเหยกลายเป็นไอขึ้นไปสู่ท้องฟ้าได้บ้าง แต่ถึงแม้จะมีแสงแดดอย่างนั้นแต่เกล็ดขาวๆ ของหิมะก็ยังโปรยปรายลงมาไม่ขาดสายทับถมเหล่าต้นหญ้าเล็กๆไม่ให้มีโอกาสได้งอกเงยขึ้นมาสูดอากาศจากภายนอก

                จากตำแหน่งที่ยืนอยู่ผู้มองสามารถเห็นทิวทัศน์ของเมืองนี้ได้ชัดเจน ตึกสูงๆ ต่ำๆ ระเกะระกะ บางตึกสูงจนแทบจะเสียดเข้ากับผืนฟ้า

นับเป็นเวลากว่าสัปดาห์แล้วที่ถนนไฟแดง เมืองโตเกียวแห่งนี้มีหิมะตกโปรยปรายลงมาไม่หยุด แต่วันนี้นับได้ว่าเป็นวันที่มีอากาศดีที่สุด อากาศโปร่งใสมากพอที่หลายคนอยากจะออกไปจับจ่ายใช้สอยข้าวของจำเป้นแต่สำหรับเธอ ซายูริ ริเอะ คงไม่มีโอกาสเช่นนั้น ความคิดของเธอในเวลานี้จมปลักอยู่อย่างเดียวก็คือทำอย่างไรเธอถึงจะมีเงินมากๆได้ มากพอที่จะใช้มันเป็นบันไดพาเธออกไปพบแม่ได้

เงินคือทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต เงินที่จะบันดาลทุกสิ่งที่อยากได้ อำนาจของมันล้นเหลือ เมื่อมีเงินทุกอย่างย่อมมาสยบอยู่แทบเท้า

สายตาของซายูริทอดมองออกไปไกล ทางด้านหน้าตรงข้ามกับอาคารมีเด็กๆ หลายคนวิ่งเล่นกันอยู่อย่างสนุกสนาน ของเล่นชิ้นใหม่ราคาแพงที่ผู้ปกครองซื้อให้ สีสันของมันสดใสน่าเล่น เด็กๆเหล่านั้นได้ลิ้มรสความสนุกสนานตามวัยกันอย่างเต็มที่ยกเว้นตัวเธอเอง

ภายในใจของเธอหวนคิดไปถึงเมื่อสิบปีก่อนเมื่อครั้งที่เธออาศัยอยู่กับมิยาอิผู้เป็นย่าตามลำพังในกระท่อมหลังน้อยในเขตฮิดะในจังหวัดกิฝุ ซึ่งเป็นพื้นที่ในชนบทที่มีภูเขาและหุบเขาล้อมรอบทำให้แถบนี้มีหิมะตกหนักเกือบตลอดทั้งปี อุณหภูมิลดต่ำลงจนหนาวเหน็บแทบทนไม่ไหว

บ้านของเธอหรือจะเรียกให้ถูกก็คือกระท่อมแบบโบราณหลังเล็กกระจิดจิดที่สร้างมาจากไม้และดินเหนียว มุงหลังคาด้วยกระเบื้อง อันถือเป็นสมบัติตกทอดมาจากคุณปู่ฮาคิดะ

ถึงตัวบ้านจะค่อนข้างเก่าแต่ภายในกลับอยู่สบาย ลมและอากาศถ่ายเทได้สะดวก ประตูและหน้าต่างเป็นแบบประตูเลื่อนที่สามารถเปลี่ยนแปลงห้องเล็กๆ ที่มีอยู่ด้วยกันสองห้องซึ่งแต่เดิมแยกเป็นของทาเคชิผูเป็นพ่อและของเธอกับย่าให้รวมกันเป็นห้องใหญ่ๆ 1 ห้องได้

"มากินข้าวได้แล้วล่ะซายูริ เดี๋ยวจะเย็นเสียหมด"เสียงแหบเครือด้วยวัยชราของผู้เป็นย่าดังขึ้น ขณะที่มือของหญิงชราง่วนอยู่กับการตักข้าวเจ้า เมล็ดสั้นกลมป้อมออกเหนียวเล็กน้อยนั้นใส่ลงในถ้วยกระเบื้องเคลือบเก่าๆจนเต็มให้กับหลานสาวกำพร้าที่น่าสงสาร

เด็กหญิงซายูริวัยสิบขวบ เงยใบหน้ากลมป้อมขึ้นขานรับก่อนจะละมือจากการปอกต้นกระเทียมที่เธอกับผู้เป็นย่ารับจ้างปอกเพื่อยังชีพเอาไว้และเลื่อนถาดนั้นแอบชิดเข้ากับข้างฝ้า

รายได้เพียงน้อยนิดสำหรับคนอื่นแต่ก็มีค่ามากพอสำหรับสองย่าหลานที่ยากจน

"วันนี้ทำอะไรคะย่า น่าทานจัง"เด็กหญิงยิ้มกว้างรีบล้างมือจนสะอาดและมานั่งคุกเข่าบนเสื่อทาตามิพลางกวาดสายตามองอาหารเพียงสองอย่างตรงหน้าบนโต๊ะญี่ปุ่นด้วยความหิว

"ผักกาดดองกับเทมปุระ อ่อ......วันนี้ย่าทำโมจิข้าวเหนียวให้ด้วยนะ เผื่อเอาไว้พรุ่งนี้จะได้ห่อไปโรงเรียนด้วยเลยยังไงล่ะ"เจ้าของเสียงแหบเครือนั้นใช้ตะเกียบคีบขนมก้อนกลมๆ ข้างในเป็นไส้ถั่วแดงกวนออกวางไว้ให้หลานสาวสองชิ้นและสำหรับตัวเองอีกหนึ่งชิ้น

"หนูไม่อยากไปโรงเรียนเลยจ้ะย่า"ซายูริย่นหน้าแต่ปากและมือยังคงทำงานกันอย่างสอดประสานไม่นานข้าวในถ้วยก็หมดจนต้องขอเติมอีก หญิงชรารีบตักให้อย่างเอ็นดู

"กินเยอะๆ จะได้โตเร็วๆ เจ้าผอมกว่าคนอื่นในหมู่บ้านเสียครึ่ง ใครเห็นก็จะว่าย่าเลี้ยงหลานให้ อดๆ อยากๆ เราไม่ได้ยากจนถึงขนาดนั้นเสียหน่อย เอ่อ....ว่าแต่มีอะไร ทำไมถึงไม่อยากไปโรงเรียนเรอะ"

"ใครๆ ที่โรงเรียนชอบล้อว่าหนูเป็นลูกไม่มีพ่อไม่มีแม่ จริงหรือจ๊ะยาย"ทุกครั้งที่ได้ถามถึงผู้ให้กำเนิดลำคอของเด็กหญิงจะเต็มตื้นขึ้นมาจนไม่สามารถกลืนอาหารรสชาติโอชะของนางมิยาอิเข้าไปอีกได้ แม้ว่าร่างกายในวัยกำลังเจริญเติบโตจะเรียกร้อง หญิงชราส่ายศีรษะไปมาพร้อมทำเสียงเข้ม

"ใครกันที่ล้อเจ้า ย่าจะไปเอาเรื่องมันเดี๋ยวนี้"ไม่พูดเปล่าแต่เจ้าของเสียงแหบเครือนั้นถลกผ้านุ่งขึ้นยืนจังก้าท่าทางเอาเรื่องอย่างที่พูด ดูน่าขันแต่ในเวลานี้ซายูริขำไม่ออกเอาเสียแล้ว

"แล้วมันจริงไหมล่ะย่า"

"ถ้าไม่มีพ่อไม่มีแม่เจ้าจะเกิดมาจากกระบอกไม้ไผ่หรือยังไงเล่า เรียนมาซะสูงก็น่าจะรู้ดีนี่นา"ทำเสียงแข็ง แต่ตาคอยหลบหลานสาวตลอดเวลา

"แล้วพ่อกับแม่ล่ะย่า ไปไหนกันหมด"คำถามเดิมซ้ำๆ ที่เด็กหญิงเฝ้าเพียรถามแต่ไม่ได้รับคำตอบอะไรเลยมาเป็นเวลาสิบกว่าปีนานเท่าอายุเธอ

"เอาล่ะๆ เซ้าซี้อยู่ได้ แล้วเย็นนี้จะเล่าให้ฟังก็แล้วกัน"ผู้เป็นย่าตัดบท ใจอ่อนยวบกับสายตาอ้อนวอนของหลานสาวทั้งที่ใจแข็งมาได้ตั้งหลายปี แต่ซายูริโตพอที่จะรับความจริงอันโหดร้ายได้แล้ว

ความหลังที่เจ็บปวดทำให้นางไม่อยากนึกถึง แม้ใครๆ จะไม่พูดถึงเรื่องนั้นขึ้นมาอีกแต่นางก็รู้ดีว่าอาโออิ อดีตเกอิชาเลื่องชื่อ ซากุระงามผู้เป็นที่หมายปองของชายมากมายในเวลานั้น

 และเป็นลูกสะใภ้ของนางเองที่แอบหนีไปกับชายชู้พร้อมกับทาเคอิน้องชายของซายูริ จากวันนั้นมานางก็ไม่ได้ทราบข่าวของสองแม่ลูกคู่นั้นอีกเลย

อาโออิทิ้งให้ทาเคชิลูกชายของนางเอาแต่ดื่มเหล้าจนเมามาย ไม่ยอมสนใจไยดีซายูริลูกสาวตัวน้อยวัยขวบเศษ มีเพียงนางมิยาอิผู้เป็นย่าเท่านั้นที่เลี้ยงดูหลานสาวตัวน้อยด้วยตัวเอง จนกระทั่งบุตรชายของนางได้ตายไปเพราะเมาและถูกรถชนขณะเดินข้ามถนน

"โธ่......ทำไมจะต้องเย็นนี้ด้วยล่ะจ๊ะ ตอนนี้ไม่ได้หรือ"เด็กหญิงโอดครวญแต่การที่ผู้เป็นย่ายอมรับปากก็ทำให้เธอยิ้มกว้างพร้อมกับปาดน้ำตาทิ้งอย่างยินดี

"บอกว่าเย็นนี้ก็ต้องเย็นนี้สิ และจนกว่าเจ้าจะปอกกระเทียมและทำการบ้านเสร็จแล้วด้วย ไม่อย่างนั้นย่าเห็นทีจะเปลี่ยนใจ"นางมิยาอิขู่ขึ้นแต่สายตานั้นทอแสงอ่อนลงอย่างเห็นใจ

"เดี๋ยวนี้แหละจ้ะยาย" ซายูริลงมือเก็บถ้วยชามไปล้างทำความสะอาดและเดินฮัมเพลงออกไปปอกหัวกระเทียมด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข 
           ตาคอยเฝ้ามองนาฬิกาเก่าๆบนฝาผนังห้องเป็นระยะ นับวันคอยว่าเมื่อไหร่จะถึงเย็นนี้เสียที เธอจะได้รู้ว่าแท้จริงแล้วพ่อกับแม่เป็นใคร พ่อกับแม่จะต้องรักเธอมาก ไม่ได้ทิ้งเธอไปอย่างที่ได้ยินคนอื่นๆเขาพูดกัน

เมื่อทำงานทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว เด็กหญิงก็ออกมานั่งรอผู้เป็นย่าซึ่งออกไปช่วยงานศพของคนในหมู่บ้านอย่างใจจดใจจ่อ
          เด็กหญิงร่างเล็กนั่งเหม่ออยู่บนชิงช้าที่ทำมาจากท่อนไม้ผูกด้วยเชือกปอทั้งสองด้านและนำไปผูกเงื่อนไว้กับต้นไม้ใหญ่ทั้งสองด้าน

ซายูริแกว่งเท้าเบาๆให้ชิงช้านั้นเคลื่อนตัวเป็นจังหวะ ร่างขาวนวลอาบไล้ด้วยแสงแห่งพระจันทร์ดูแปลกตา ดวงตากลมโตสีดำสนิทต่างจากคนเชื้อชาติญี่ปุ่นทั่วไปของเธอสว่างไสวในความมืดเป็นประกายวับแต่ทว่าดูโดดเดี่ยว ใบหน้าขาวนวลแนบพิงกับตัวเชือกทำให้เส้นผมสีดำสนิทม้วนพันเข้ากับปลายเชือก

ดวงตากลมโตนั้นเอ่อท้นด้วยหยาดน้ำตาขึ้นมาอีกครั้ง นึกถึงเรื่องเมื่อวานที่มีเพื่อนหญิงคนหนึ่งล้อเลียนเรื่องแม่ของเธอ กล่าวหาว่าแม่ของเธอเป็นโสเภณีชั้นสูงที่อ้างตัวเป็นเกอิชาแต่กลับตั้งท้องจนต้องออกมาแต่งงานกับพ่อของซายูริแต่ก็ไม่รักดีแอบมีชู้จนมีลูกชายอีกคน

"ไม่จริงใช่ไหมจ๊ะแม่จ๋า......แม่ต้องไม่ทิ้งซายูริ"เด็กหญิงครางเสียงแผ่วราวกับจะฝากสายลมหวีดหวิวที่พัดมาเป็นระยะให้ไปถึงอาโออิผู้เป็นแม่ เด็กหญิงหลุบสายตามองพื้นสลับกับชะเง้อคอมองออกไปหน้าบ้านเป็นนานกว่าผู้เป็นย่าจะกลับมา ซายูริโหนตัวลงจากชิงช้าวิ่งแจ้นเข้าไปรับของจากมือมิยาอิ

"ย่าจ๋า มาช้าจังเลย"

"ยังไม่นอนอีกเหรอริเอะ นี่มันดึกมากแล้วนะ สามทุ่มสำหรับเด็กอย่างเจ้าถือว่าดึกมากแล้ว"เสียงแหบพร่านั้นเอ่ยตำหนิไม่จริงจังนัก

"โธ่ย่า.......อย่าแกล้งลืมอย่างนี้สิจ๊ะ ก็ย่าบอกว่าเย็นนี้จะเล่าเรื่องพ่อกับแม่ให้ฟังยังไงล่ะ"เด็กหญิงย่นจมูกเอ่ยทวงสัญญาในทันที

"นึกว่าลืมแล้วเสียอีกนะนี่ ถ้าอย่างนั้นย่าขอไปอาบน้ำก่อนก็แล้วกัน ถ้าเจ้ายังไม่อาบก็ไปอาบพร้อมกัน"นางมิยาอิส่ายหน้าก่อนจะเดินไปยังห้องอาบน้ำโดยมีซายูริเดินตามหลังด้วยความดีใจ

เธอกับผู้เป็นย่าเข้าไปห้องอาบน้ำพร้อมๆ กัน ซายูริจัดการนำน้ำร้อนที่ต้มเอาไว้รอท่าแล้วเทผสมกับน้ำประปาเย็นจัดจนมันกลายเป็นน้ำอุ่นลงในอ่างอาบน้ำจนเต็มอ่าง ต่างคนต่างชำระร่างกายฟอกสบู่บนม้านั่งตัวเล็กจนสะอาดแล้วจึงลงไปแช่ตัวในอ่างน้ำอุ่นพร้อมๆกัน ซายูริค่อยๆ คลานเข้าไปนวดไหล่ให้ย่าอย่างเอาใจ

"หวังผลล่ะซิ ทำมาเอาใจย่าอย่างนี้"

"ไม่ใช่สักหน่อย แต่ถ้ามันทำให้ย่าอารมณ์ดีแล้วรีบเล่าเรื่องพ่อกับแม่ให้ฟังมันก็คงจะดี"เด็กหญิงทำหน้าทะเล้นไปด้วยจนผู้เป็นย่าต้องเผลอยิ้มทั้งเอ็นดูทั้งหมั่นไส้ สีหน้าผ่อนคลายกับการนวดของหลานสาว

"พ่อของเจ้าชื่อทาเคชิ ส่วนแม่น่ะชื่ออาโออิ"นางมิยาอิหลุดปากออกมาจนได้ ซายูริตาโตทวนชื่อพ่อกับแม่ของตัวเองจนขึ้นใจ ท่าทางสนใจมองตาแป๋วของหลานสาวทำให้หญิงชราต้องเลยตามเลยยอมเล่าเรื่องนั้นไปพร้อมๆกับการอาบน้ำไปด้วย

"แล้วยังไงต่อคะย่า"

"ทาเคชิทำงานบริษัทส่งออกรถยนต์ในโตเกียว เขาเป็นผู้ชายที่หล่อมาก สาวๆมาแอบชอบมากมายเชียวล่ะแต่ผู้หญิงคนเดียวที่เขารักกลับเป็นอาโออิ แม่ของเจ้าที่ในเวลานั้นเป็นแค่เกอิชาเท่านั้น"นางมิยาอิหลับตาลงด้วยความเจ็บปวดขณะเล่า ลูกสะใภ้ที่เป็นเกอิชาใครเห็นใครก็นินทาว่าร้ายกันทั้งนั้น

"ย่าเตือนหลายครั้งว่าไม่ให้พวกเขาคบกันแต่ทาเคชิก็ไม่เคยเชื่อฟัง ยอมเป็นตันนะอุปถัมป์นางจนตั้งท้องเจ้า ย่าก็เลยต้องรับนางเข้าบ้าน ถึงจะไม่รักไม่อยากได้มาเป็นสะใภ้แต่เมื่อนางตั้งท้องหลานในไส้แล้วอย่างนี้ย่าก็ต้องรับเอาไว้และพ่อของเจ้าก็ยืนยันนักหนาว่าอาโออิเป็นเกอิชาที่ขายเพียงศิลปะไม่เคยขายเรือนร่าง"

"พ่อกับแม่คงรักกันมาก"เด็กหญิงบอกขึ้นด้วยความภูมิใจแต่ถ้อยคำนั้นทำให้ก้อนแข็งๆในคอของหญิงชราเต็มตื้นขึ้นมาจนพูดไม่ออก

"รีบขึ้นจากอ่างเถอะ เดี๋ยวจะไม่สบายเอา"จู่ๆนางก็เปลี่ยนเรื่องแถมยังลุกออกจากอ่างน้ำไปซะเฉยๆทิ้งให้ซายูริต้องนั่งงงก่อนจะรีบตามออกไปบ้าง

เด็กหญิงแต่งตัวลวกๆแล้วเข้าไปหาย่าในห้องนอน ล้มตัวลงนอนเคียงข้างบนนวมนุ่ม สอดปลายเท้าเข้าไปใต้ผ้า ยามดึกอากาศเริ่มหนาวมากขึ้นจนต้องห่อตัวด้วยความหนาวเหน็บ

"ว่าไงจ๊ะย่า"ซายูริยังคงเซ้าซี้แม้ว่าผู้เป็นย่าจะแกล้งหลับตาเหมือนว่ากำลังหลับสนิทไปแล้วก็ตาม

"เมื่อมาอยู่ที่บ้านแรกๆอาโออิก็ช่วยเหลืองานบ้านด้วยดี ทำให้ย่าเริ่มอ็นดู แต่เพราะความสวยของนางจึงทำให้มีผู้ชายมากหน้ามาชอบ ชาวบ้านหลายคนก็เริ่มนินทาต่างๆ นาๆ อย่างว่าคนเป็นเกอิชามาก่อนใครๆก็ต้องมองไม่ดีกันทั้งนั้น"นางมิยาอิแสยะยิ้มในความมืดเมื่อสั่งให้หลานสาวดับตะเกียง

"ไม่จริงหรอก ถึงซายูริจะจำแม่ไม่ได้แต่ก็รู้ดีว่าแม่ไม่มีวันชอบผู้ชายพวกนั้น"

"อันนั้นย่าเองก็ไม่รู้หรอกนะแต่ที่รู้ ยามเมื่อพ่อเจ้าออกไปทำงานก็มีผู้ชายหลายคนเอาข้าวของชิ้นโน้น ชิ้นนี้มาให้มากมายไม่ขาดจนต้องทะเลาะกับพ่อของเจ้า และอีกปีต่อมาอาโออิก็ตั้งท้องพอคลอดก็ออกมาเป็นเด็กผู้ชาย ใบหน้าของเด็กคนนั้นไม่มีเคล้าทาเคชิแม้แต่นิดเดียว" น้ำตาของหญิงชราคลอเบ้าอย่างเจ็บใจ ความสงสารบุตรชายคนเดียวแล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆจนร่างเหี่ยวย่นตามวัยนั้นสั่นสะท้าน

"แล้วแม่พาน้องหนีไปใช่ไหมจ๊ะ"ซายูริเองเสียงก็ชักเครือขึ้นมาบ้าง

"ใช่......อาโออิคงทนแรงกดดันจากคนรอบข้างไม่ไหวจนต้องพาทาเคอิหนีไปทั้งที่เขามีอายุเพียงแค่เดือนเดียว นั่นยิ่งทำให้เรื่องที่แม่ของเจ้าคบชู้มันน่าเชื่อหนักเข้าไปอีก ทาเคชิเสียใจมาก เขาดื่มเหล้าหนักจนถูกไล่ออกจากงานทำให้ข้าวของในบ้านต้องถูกขายออกไปเพื่อแลกกับเงินจนร่อยหรอ สภาพบ้านเราก็เป็นอย่างที่เจ้าเห็นนั่นแหละ และไม่นานเขาก็ถูกรถชนตายเพราะความเมา"

"ถึงอย่างไรซายูริก็ยังไม่อยากเชื่อว่าแม่จะทิ้งหนูไป"ซายูริส่ายหน้า ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ ไม่ว่าใครจะกล่าวร้ายอย่างไรเธอก็จะไม่มีวันเชื่อจนกว่าจะได้เห็นด้วยตาของตัวเอง

"ย่าก็เล่าเท่าที่รู้ ความจริงมันเป็นสิ่งที่เจ็บปวดแต่มันก็คือความจริง"

"สักวันหนูจะตามหาแม่ให้พบแล้วถามแม่ด้วยตัวเองว่าทิ้งหนูกับพ่อทำไม"เด็กหญิงบอกเสียงดัง ดวงตาวาวโรจน์ในความมืด ดวงตาที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นจนหญิงชราชักหวั่นใจ

"จะไปได้อย่างไรกัน แม่เจ้าหนีไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ เห็นว่าชายชู้นั่นเป็นคนตะวันออกแต่ย่าก็ไม่รู้จัก แค่เคยได้ยินชื่อชนเผ่าตอนพวกเขาทะเลาะกัน ย่าจำได้เพราะพวกเขาทะเลาะกันกรอกหูแทบทุกวัน"

"ย่าว่าแม่จะไปอยู่ที่ไหนหรือย่า"เด็กหญิงลุกจากที่นอนอันแสนอบอุ่นหันมาเขย่าแขนผู้เป็นย่าอย่างร้อนรน
         หญิงชราส่ายหน้าแต่ก็ยอมบอกชื่อชนเผ่าที่ได้ยินตอนลูกชายกับลูกสะใภ้ทะเลาะกันแต่โดยดี พราะไม่คาดคิดคิดว่าในอนาคตอันต่อจากนี้เด็กหญิงจะทำตามความมุ่งมันของตัวเองจนได้

"ย่าเคยได้ยินพ่อของเจ้าบอกว่าชายชู้ที่มาติดพันอาโออิเป็นคนชนเผ่าฟามาลย์ ในประเทศแถบทะเลทราย ประเทศอะไรย่าก็ไม่ได้ถามเจ้ารู้แค่นี้ก็พอแล้ว ไปนอนซะย่าง่วงเต็มที"นางมิยาอิหันข้างให้และคุมโปงใต้ผ้านวมเป็นการตัดบทสนทนา ซายูริ ริเอะถอนหายใจยาวแต่ความมุ่งมั่นยังมีอยู่เต็มเปี่ยม

"ชนเผ่าฟาร์มาล"เด็กหญิงพึมพำไปมา ท่องจนขึ้นใจพลางคิดในใจว่าไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนเธอจะต้องเก็บเงินให้มากพอที่จะออกไปตามหาอาโออิผู้เป็นแม่กับน้องชายให้จงได้

***********************************************************************************************************

ตอนที่ 2

"ซายูริ......"เสียงเรียกพร้อมกับปลายนิ้วที่แตะลงบนแผ่นหลังผ่านชุดกิโมโนทำให้ผู้ที่กำลังยืนเหม่ออยู่ต้องสะดุ้งวาบ เจ้าของมือปิดปากหัวเราะคิกคักอย่างเห็นเป็นเรื่องสนุกกับความขวัญอ่อนของเพื่อนสนิท

"มิกะนี่ มาเงียบๆ ฉันตกใจหมด"หญิงสาวส่งสายตาดุๆ ไปให้แต่สาวสวยผู้มีนามว่ามิกะยักไหล่อย่างไม่สนใจแล้วเปลี่ยนมาเป็นต่อว่าเพื่อนแทน

"ใครว่าฉันมาเงียบๆ เดินลงส้นตึงตังออกอย่างนั้นแต่เธอไม่ได้ยินเองต่างหากเล่า ว่ายังไงมัวเหม่ออะไรอยู่ล่ะถึงได้สะดุ้งขนาดนั้น"

"ไม่มีอะไร"เจ้าตัวตอบพลางหันไปพับเสื้อผ้า

"คิดถึงบ้านอีกล่ะสิ ฉันรู้หรอก กี่ปีแล้วนะที่เรามาอยู่ที่นี่พร้อมๆ กัน สิบปีนานเหมือนกันน ะแต่เวลากลับผ่านไปอย่างรวดเร็วจนน่าแปลกใจ อีกไม่นานเราก็คงได้เป็นเกอิชาเต็มตัวแล้ว"อีกฝ่ายบอกขึ้นอย่างร่าเริงพลางขยับมวนผมที่ตลบพันขึ้นสูงปักด้วยปิ่นรูปใบพัดทางด้านซ้ายและปิ่นรูปปะการังทางด้านขวา

ในฐานะนางเกอิชาฝึกหัดหรือที่เรียกว่าไมโกะนั้นทรงผมของพวกเธอต้องอลังการไปด้วยเครื่องประดับ น้ำหนักรวมกันแล้วก็หลายกิโล

"ฉันยังไม่เห็นอยากเป็น"ซายูริเบ้หน้า

"แต่ฉันอยากเป็นมาก เบื่อเต็มทนแล้วกับการเป็นไมโกะที่ต้องคอยวิ่งรับใช้เกอิชารุ่นพี่งกๆ ถูกกลั่นแกล้งสารพัด ฝึกก็หนักยิ่งกว่าพวกทหารอีกแหนะ"

"นั่นสินะ การเป็นเกอิชามันก็จะทำให้เรามีชื่อเสียง ได้ต้อนรับแขก และที่สำคัญเราก็จะได้มีเงินเยอะๆด้วย มีเงินมากพอที่จะไถ่ตัวแล้วก็เป็นไท จากนั้นฉันก็จะไปตามหาแม่กับน้องชาย"ซายูริว่าเข้านั่น ลมหายใจเข้าออกเป็นเงินเป็นทองจนมิกะต้องมองค้อน

"จ้ะ......แม่คนหน้าเงิน วันเปิดตัวครั้งแรกที่จะเรียกค่าประมูลพรมจารีสักกี่หมื่นเยนดีล่ะ สวยๆอย่างเธอคงมีผู้ชายมากมายที่อยากจะเป็นดันนะอุปถัมส์"มิกะเลื่อนมือเรียวจากการจัดทรงผมมาเชยคางซายูริขึ้นมอง ใบหน้านวลที่ปราศจากการลงแป้งขาวหนาเตอะช่างงดงามหมดจดจนน่าอิจฉาจริงๆ

"ฉันต้องเก็บเงินให้ได้เยอะๆ นี่นา เธอก็รู้ว่าฉันขายตัวเองมาเป็นเกอิชาที่นี่เพื่ออะไร"ซายูริไม่ยี่หระกับการกล่าวหาของมิกะหรือแม้แต่ใครๆ

เพราะเธอนั้นก็เห็นแก่เงินจริงๆ อย่างที่ใครๆ เขาว่า แต่เธอก็ไม่เคยคดโกงใครเงินทุกเยนที่สะสม ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงจากการทำงานทั้งนั้น

"รู้ดีเท่าๆ กับตัวเธอนั่นแหละ เพราะเธอเล่าให้ฉันฟังมาตั้งแต่ตอนอายุสิบเอ็ดปีนี่ก็ยี่สิบเอ็ดแล้วก็ยังเล่าให้ฟังอยู่เลย ฉันจะทวนให้ฟังแทนเอาไหมล่ะ"

"ไหนลองซิ"ซายูริย้อนถามยิ้มๆ

"แม่เธอชื่ออาโออิ แอบหนีไปเมืองทะเลทรายซึ่งเธอก็ไม่รู้ว่าประเทศอะไรพร้อมๆกับน้องชายชื่อทาเคอิ เธอมีแค่รูปถ่ายตอนเป็นเกอิชาของแม่ที่พอกแป้งขาวจนหนาเตอะจนดูไม่ออกว่าหน้าตาจริงๆเป็นยังไงที่ย่าให้เอาไว้ก่อนตายแต่เธอก็ยังจะออกตามหา อย่างนั้นใช่ไหม"

"เก่งนี่"หญิงสาวชูนิ้วโป้งให้

"ถ้าเป็นฉันนะ ถ้าหากแม่ทิ้งฉันไปอย่างเธอล่ะก็ ฉันไม่มีวันตามหาให้ปวดใจเสียเปล่าๆ หรอก เขาทิ้งเราแสดงว่าเขาไม่ได้รักเราแล้ว"มิกะยักไหล่อีกครั้งอันเป็นสัญลักษณ์ของเธอไปเสียแล้ว

 กิริยานี้ติดเป็นนิสัยที่แก้ยาก ดังนั้นยามเมื่ออยู่ต่อหน้าโอคาซังหรือคุณแม่เจ้าของสำนักเกอิชาซายูริจึงต้องคอยหยิกเตือนอยู่บ่อยๆ

"แม่รักฉัน เพียงแต่แม่คงมีเหตุผลที่ต้องทิ้งฉันไป"ซายูริยืนยันถ้อยคำเดิม ไม่ว่าจะถูกใครห้ามปรามอย่างไร ความเชื่อของเธอก็ไม่มีใครขัดขวางได้

"จ้า...ฉันรู้ดี แม่คนหัวแข็ง ถ้าอย่างนั้นก็ไปดูชุดกิโมโนสวยๆที่คุณแม่ให้เอามาเลือกสำหรับให้เราใส่ในวันเปิดตัวของพวกเรากันเถอะ จะได้มีคนอยากประมูลพรมจารีของเธอด้วยราคาแพงลิบลิ่วยังไงล่ะ"มิกะชวนแล้วกึ่งจูงกึ่งลากเพื่อนรักให้ออกไปจากห้องพักส่วนตัว

เมื่อไปถึงยังอีกห้องหนึ่งที่ถูกกั้นไว้ด้วยม่านบางๆสองสามชั้น บรรดาไมโกะคนอื่นๆที่อายุไล่เลี่ยกันและกำลังจะจบหลักสูตรเพื่อเลื่อนขั้นเป็นเกอิชาเหมือนกันกำลังเลือกชุดกิโมโนของตัวเองอยู่อย่างตั้งใจ ชุดกิโมโนพวกนี้คาเนดะหรือคุณแม่ของพวกเธอนั้นสั่งตัดมาให้คนละชุด ทำจากไหมพันธุ์พิเศษคัดมาอย่างดี

ลวดลายของมันนั้นสวยงาม มีสีสันฉูดฉาด ตัวที่สาวๆ ให้ความสนใจมากที่สุดก็คือลายดอกซากุระบานและเลือกตัวที่มีสันสันสดใส แต่สำหรับซายูรินั้น หญิงสาวกลับหมายตากิโมโนแขนยาวสีดำสนิทที่เขียนลวดลายเป็นภาพต้นหลิวสีเขียวสลับขาวดูลึกลับ น่าพิศวงแต่สาวๆคนอื่นมองเมิน

ชุดกิโมโนพวกนี้ถือเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดในชีวิตของเกอิชา ราคาค่างวดของมันแต่ละตัวนั้นสองถึงห้าพันดอลล่าห์

และแน่นอนว่าโอคาซังอย่างคาเนดะผู้ที่มิกะแอบตั้งฉายาให้ว่าคุณแม่ทะเลนั้นไม่มีทางมอบให้ใครฟรีๆ แน่ ค่าตัวของพวกเธอในแต่ละคืนจะต้องถูกหักจนแทบจะไม่มีเหลือจนกว่าจะพอจ่ายค่าชุด ค่าเลี้ยงดู ค่าเล่าเรียนศิลปะแขนงต่างๆ อีกจิปาถะ หลังจากนั้นรายได้จึงจะพอเหลือเก็บ

"สวยจังเลยนะซายูริ ดูของฉันสิ สีส้มสดลายดอกเมเปิ้ล แสบตาเชียว เวลาฉันใส่มันคงจะขับผิวให้สวยเด่นไม่แพ้ใครแน่ๆ"มิกะหยิบชุดสวยนั้นขึ้นมาแนบอกด้วยสายตาชวนฝัน

ซายูรินั้นเพียงแค่ลูบๆคลำๆมันเท่านั้น ไม่ใช่ว่าชุดกิโมโนแสนสวยนั้นจะไม่ถูกใจเธอแต่เพราะราคาค่างวดของมันต่างหากที่แสนจะแพงตามความงามของเนื้อผ้าไปด้วย นั่นต่างหากที่ทำให้เธอเสียดายเงินที่จะต้องถูกหักออกไป อีกกี่ปีกันล่ะถึงจะสามารถใช้หนี้ชุดกิโมโนนั้นได้

"เธอเป็นคนสวยมิกะ ไม่ว่าสวมชุดไหน สีอะไรเธอก็ดูงามสง่าเสมอ"ซายูริหยอดคำหวานทำให้มารีน สาวสวยลูกครึ่งญี่ปุ่น อเมริกา ผู้มีดวงตาสีเขียวมรกต

เธอเป็นไมโกะรุ่นเดียวกับซายูริ มารีนหยักริมฝีปากขึ้นอย่างเยาะหยันพร้อมกับหันไปพูดกับเพื่อนในกลุ่มของเธอแต่ปรายตามามองทั้งสองเป็นระยะ

"น่าเบื่อไอ้พวกบ้ายอนะเธอ รู้ว่าเขายอยังทำหน้าระรื่น หน้าตารึก็เหมือนกับลูกเป็ดที่เจ้าของไม่อยากเลี้ยงให้โตมากพอที่จะทำเป็ดปักกิ่งได้ ยังจะเชื่อคำชม"

"นั่นสินะ ฉันได้ยินแล้วยังอยากจะอ้วก"สาวสวยที่อยู่เคียงข้างมารีนเอ่ยขึ้นตามหลัง ตามติดมาด้วยสาวสวยอีกคนหนึ่งที่ป้องปากหัวเราะลอยมาตามหลัง มิกะหน้าตึง ถึงพวกนั้นจะไม่เจาะจงว่าเป็นใครแต่สายตาที่มองมา ดูปราดเดียวก็รู้ว่าแม่พวกนั้นหมายถึงใคร

"พวกเธอว่าใคร"มิกะวางชุดสวยลงแล้วเงยหน้าขึ้นมาถามอย่างเอาเรื่อง ซายูริยื่นมือมาฉุดรั้งแขนของเพื่อนรักที่กำลังมีโทสะพร้อมเอื้อมหน้าไปกระซิบ

"อย่ามีเรื่องตอนนี้เลยมิกะ ใกล้จะถึงงานเปิดตัวครั้งแรกแล้ว ถ้าเรามีเรื่องกับพวกมันเราสองคนจะต้องถูกลงโทษไม่ให้ร่วมงานในวันนั้นด้วย ทางที่ดีเราควรสงบปากสงบคำเอาไว้ก่อนดีกว่า"

"กระซิบกระซาบอะไรกัน แน่จริงบอกให้พวกเราได้ยินสิ ว่าอย่างไรเล่าแม่คนงาม คนเด่น เตรียมตัวปรนเปรอแขกไปถึงไหนแล้วล่ะ คงยากหน่อยละนะ"มารีนยังไม่หยุดยั่วเย้า

จงใจหาเรื่องเพื่อให้ซายูริกับมิกะที่เธอแสนจะเกลียดชังเพราะความสวยของทั้งสองนั้นมีไม่น้อยไปกว่าเธอ ดังนั้นหนทางที่ดีที่สุดก็คือตัดไฟแต่ต้นลม ให้สองคนนั่นถูกลงโทษจนไม่ได้ไปร่วมงานแล้วเวลานั้นคนที่สวยและเด่นที่สุดก็จะเป็นเธอ ทาเมอิ มารีน.......

"มันจะมากไปแล้วนะมารีน เราสองคนขายศิลปะของการเป็นเกอิชา ไม่มีวันที่จะขายพรมจารีให้กับชายที่ไม่ยินดี อย่ามาเหมารวมว่าคนอื่นจะเป็นเหมือนตัว"ซายูริโพล่งขึ้นอย่างเหลืออด ทั้งที่เมื่อครู่นี้เธอเองเป็นคนเอ่ยเตือนสติมิกะแต่คราวนี้กลับตบะแตกเสียเอง

"โอ้ย.....บอกไปใครเขาจะเชื่อ โดยเฉพาะคนเห็นแก่เงินอย่างเธอเงินแค่เยนเดียวตกยังต้องรีบคลานเข้าไปเก็บ"มารีนทวนความหลัง

"ฉันไม่คิดจะขายตัว"ซายูริเน้นเสียงรอดไรฟัน มือเรียวยาวกำแน่นอย่างพยายามควบคุมโทสะที่แล่นพล่านไปทั่วร่างกาย

"จ้า.....แม่คนรักศักดิ์ศรี แม่ของเธอเองก็เคยเป็นเกอิชาที่นี่มาก่อนไม่ใช่หรือ ได้ข่าวว่าท้องกับดันนะ แต่ก็ไม่รู้นะว่าดันนะคนนั้นจะเป็นพ่อของเธอจริงๆหรือเปล่า แม่ของเธอเองก็ประกาศว่าจะไม่ยอมขายพรมจารีให้กับใครมิใช่หรือ แล้วทำไมมีเธอออกมาประจานตัวเองซะล่ะ"มารีนเย้ยหยัน

ความงามที่เลื่องชื่อของอาโออิในสมัยยี่สิบปีที่แล้วนั้นเป็นที่กล่าวขาน ยามเมื่อครูฝึกจะยกตัวอย่างรุ่นพี่เกอิชาให้ฟัง ชื่อของอาโออิมักจะเป็นคนแรกเสมอ

"แม่กับพ่อรักกัน แม่มอบพรมจารีให้ดันนะด้วยความรัก ไม่ใช่เพราะขาย"ซายูริตัวสั่น อารมณ์ที่กักเก็บเอาไว้จวนเจียนจะระเบิด

"เอาหลักฐานอะไรมายืนยันล่ะ ในคืนวันประมูลพรมจารีมีคุณชายตระกูลดังมาประมูลแม่ของเธอถึงคืนล่ะห้าหมื่นเยนมีหรือนางจะปฏิเสธ"

"ดูเหมือนเธอจะรู้รายละเอียดดีซะอย่างกะว่าแม่ของเธอเองก็อยู่ในนั้นด้วยเสียอีกนะ นังลูกครึ่งเชอะ.....ทำมาเป็นพูดดี ความจริงแล้ว แม่ของเจ้าก็คงจะเป็นแค่พวกโออิรันขายตัว ที่ถูกซื้อไปเป็นเมียเช่าของพวกแขกอเมริกันที่เข้ามาครอบครองประเทศเราตอนหลังสงครามโลกล่ะสิ หน้าตาของเธอมันถึงได้ออกมาทุเรศอย่างนี้"มิกะชี้หน้าท้าทาย สวนขึ้นทันควันเล่นเอาสาวสวยหัวโจกของการท้าดวนคารมครั้งนี้ต้องกรี๊ดลั่น

"กรี๊ด.....นังมิกะ แกกล้าว่าฉันเหรอ"มารีนกระทืบเท้าอย่างโกรธแค้น

"ต๊าย......นี่เธอเพิ่งจะรู้ตัวหรือไงยะว่าฉันว่าน่ะ"

"ตบมันเลยมารีน เอามันให้ตายคามือโดยเฉพาะนังซายูริหน้าหวานนี่"เพื่อนสาวในกลุ่มของมารีนยุขึ้น มารีนตัวสั่นด้วยความโกรธโดยเฉพาะกับประโยคต่อมาของซายูริที่ร้องบอกด้วยสีหน้าท้าทาย

"ฉันก็มีมือสองข้างเท่ากับเธอ แถมยังเป็นมือที่เคยทำงานหนักมาก่อนเสียด้วย ดูซิว่าใครมันจะแน่กว่ากัน"เสียงเย้ยหยันนั้นทำให้อารมณ์ของมารีนพลุ้งพล่านหนักขึ้นก่อนจะกระโดดเข้าใส่ซายูริอย่างลืมตัว ลืมไปว่าตัวเองนั้นอาจจะโดนโทษทัณฑ์หนักจนถึงขั้นไม่อนุญาตให้ร่วมในงานเปิดตัว

"นี่แหนะ....."มารีนฟาดฝ่ามือไปบนใบหน้าของซายูริฉาดใหญ่ เนจังเพื่อนของมารีนผู้เป็นลูกมือคอยยุถลาเข้าขวางเมื่อเห็นว่ามิกะกำลังจะตรงเข้าช่วยซายูริ

"แกเป็นคนแรกที่ตบฉัน มารีน แล้วจะรู้ว่าคนอย่างฉันไม่ยอมตกเป็นเบี้ยล่างใครง่ายๆ"ซายูริคำรามก่อนจะผลักร่างงามนั้นกระเด็นผึงไปกองกับพื้นท่ามกลางเสียงกรีดร้องของคนอื่นๆ

ซายูริประเคนฝ่ามือไม่ยั้งไปบนหน้าของคู่ซ้อมจนใบหน้านั้นบวมเป่ง เช่นเดียวกับมิกะที่สั่งสอนแม่คนช่างยุอย่างเนจังซะสะบักสะบอมพอๆกัน

"สมน้ำหน้า ทีหลังอย่าลองดีกับพวกฉันอีก"มิกะถอยห่างออกมายืนมองผลงานของตัวเองด้วยความพอใจพลางหันไปสบตากับซายูริแล้วยักคิ้วให้

"มารีน หน้าเธอบวมเป่งเลย"เนจังหันมามองเพื่อนสนิทพร้อมอุทานขึ้น

"หน้าเธอก็เหมือนกัน ปากแตกอย่างนั้น เราจะเปิดตัวยังไง"มารีนวิ่งไปหยิบคันฉ่องที่วางอยู่ใกล้ๆนั้นขึ้นมาส่องหน้าตัวเองทันที เนจังรีบแย่งมาดูบ้างและหลังจากนั้นสองสาวก็กรีดร้องลั่นขึ้นพร้อมกัน ซายูริรีบยกมือขึ้นปิดหู ส่วนมิกะนั้นยืนหัวเราะด้วยความสะใจ

"แก.......แกทำให้ฉันไม่ได้ไปร่วมงานนี้"มารีนร้องลั่น ตามมาด้วยคำหยาบคายอีกมากมาย มือไม้คว้าชุดกิโมโนที่อยู่ใกล้มือปาใส่ฝ่ายตรงข้ามไม่ยั้ง

"เอะอะอะไรกัน!"เสียงกร้าว ทรงอำนาจของคาเนดะดังขึ้นทำให้ความวุ่นวายทั้งหมดหยุดชะงักราวกับถูกตัดขาดด้วยกรรไกรอันแหลมคม

สาวๆทุกคนคุกเข่าหมอบลงกับพื้นด้วยความหวั่นเกรง รวมทั้งสี่สาวผู้ก่อคดีวิวาทร่วมกันมาด้วย นางผู้เป็นโอคาซังตวัดสายตาคมๆของเธอแลกวาดไปทั่วก่อนจะมาหยุดอยู่ที่ใบหน้ายับเยินของมารีนกับเนจัง นางสาวเท้าไปใกล้แล้วใช้มือเรียวนั้นเชยคางมารีนขึ้น

"ยับเยินอย่างนี้ อย่าหวังว่าจะได้ไปร่วมงานที่โรงน้ำชา รอไปก่อนเถอะ"คำบอกนั้นทำเอาน้ำตาของสองสาวร่วงเผาะ การพลาดโอกาสในการไปร่วมงานครั้งนี้ก็เท่ากับว่าเธอสองคนจะไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเกอิชาเต็มตัวในปีนี้

"แต่ที่หน้าฉันต้องเป็นแบบนี้ก็เพราะนังสองคนนั่นนะคะ มันตบฉัน"มารีนชี้มือไปทางซายูริเป็นเชิงฟ้อง ทั้งแค้นใจจนแทบอยากจะบีบลำคอระหงนั้นให้แหลกคามือ สองสาวมือตบได้แต่ก้มหน้านิ่งเมื่อดวงตาแหลมคมของโอคาซังจับจ้องมายังเธอทั้งสองพร้อมกับบอกเสียงกร้าว

"เจ้าสองคนก็เหมือนกัน โทษของการทะเลาะวิวาทก็คือการต้องทนอยู่ในตำแหน่งไมโกะต่อไปจนกว่าจะถึงปีหน้า"ประกาศิตนั้นดังก้อง ซายูริลำคอตีบตัน

ความใฝ่ฝันที่จะได้เป็นเกอิชาเต็มตัวของเธอจบสิ้นแล้ว นั่นหมายถึงเป้าหมายที่จะเก็บเงินเพื่อออกไปตามหาแม่นั้นต้องเลื่อนออกไปอีกด้วย

"แต่มารีนมาหาเรื่องเราก่อนนะคะคุณแม่"มิกะโพล่งขึ้น อย่างไม่ยอมแพ้ เธอกับซายูริเป็นคนถูกหาเรื่องก่อนแท้ๆ การตัดสินแบบนี้ถือว่าไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย

                "ไม่จริงค่ะ"มารีนแย้งขึ้น

                "พวกเจ้าทั้งหมดอยู่ในเหตุการณ์นี้ ไหนบอกมาซิว่าเกิดอะไรขึ้น"คาเดนะหันไปถามคนอื่นๆที่ร่วมรู้เห็นในเหตุการณ์ แต่ทุกคนก็ก้มหน้างุดไม่กล้าพูดความจริงเพราะกลัวความร้ายกาจของมารีน

"ว่ายังไง ตกลงพวกเจ้าเห็นว่าใครเป็นคนหาเรื่องใครก่อน"

"ไม่ทันฟังค่ะ"ใครคนหนึ่งที่ดูจะใจกล้าที่สุดเงยหน้าขึ้นตอบ

"พวกเจ้า!"มิกะกำมือแน่นอย่างแค้นใจ ขยับจะเอาเรื่องแต่ซายูริรีบฉุดแขนเอาไว้พลางส่ายหน้าเป็นเชิงห้าม เพียงแค่คดีเดียวเธอเองก็ไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไรดีแล้ว

"เห็นไหมคะ ว่ามันสองคนร้ายกาจแค่ไหน"มารีนว่าขึ้น

"ถ้าอย่างนั้น เธอสองคนซายูริ มิกะ จะต้องถูกลงโทษตามกฎ ต้องถูกกักบริเวณสามวันแล้วไม่ได้รับอนุญาตให้ไปร่วมงาน ส่วนเจ้ามารีนกับเนจังถ้าหายทันก็ไปร่วมงานได้แต่ถ้าหน้าเจ้ายังบวมเป่งอยู่ล่ะก็ห้ามเด็ดขาด ฉันไม่อยากขายขี้หน้า สำนักเกอิชาที่นี่มีชื่อเสียงที่สุด"นางคาเนดะตัดสินความแล้วเดินนวยนาดออกไป ทิ้งให้ซายูริกับมิกะต้องโผเข้ากอดกันร่ำไห้ด้วยความเสียใจ

ชีวิตของไมโกะ อะไรมันจะสำคัญมากไปกว่าการได้เป็นเกอิชา

คาเนดะเดินไปหยุดยืนอยู่หน้าพิณตัวโปรด ก่อนจะยกมือเรียวของตัวเองขึ้นดีดเป็นทำนองอันไพเราะเพราะพริ้ง เธอเป็นโอคาซังแห่งนี้เพื่อสืบสานกิจการของครอบครัวต่อ ปีนี้เธออายุได้สี่สิบห้าพอดีแต่ความงามที่ได้รับการปรุงแต่งด้วยเครื่องประทินโฉมราคาแพงนั้นมีส่วนช่วยให้ความงามนั้นยังคงอยู่

นางถอนหายใจยาวอย่างกลัดกลุ้ม วางมือที่เล่นพิณอยู่อย่างไร้อารมณ์ที่จะเล่นมันต่อได้ นึกไปถึงงานเปิดตัวเกอิชารุ่นใหม่ที่จะมีขึ้นในอีกสองวันข้างหน้าด้วยความเสียดาย

อันที่จริงแล้ว ซายูริกับมิกะถือว่ามีความงามและพรสวรรค์ในการแสดงต่างๆ มากกว่าคนอื่นๆ เธอเองก็คาดหวังว่าจะได้เปิดตัวดอกหลิวล้ำค่าประจำสำนักเธออย่างซายูริ

เด็กคนนี้มีพรสวรรค์นอกจากความงามที่มากล้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการร่ายรำ การดนตรีหรือแม้แต่วิธีการเอาอกเอาใจลูกค้าเธอก็ทำได้ยอดเยี่ยม แต่น่าเสียดายที่มาทำความผิดเข้าอย่างนี้ เธอเองเป็นโอคาซังของที่นี่ก็ต้องทำตามกฎอย่างเคร่งครัด ไม่อย่างนั้นก็จะปกครองคนอื่นๆ ไม่ได้

คาเนดะทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง ความคึกคักมาเยือน เมื่อถึงเวลาค่ำคืน โคมไฟหลากสีถูกจุดไปทั่วทางเข้า เนื่องจากย่านนี้เป็นย่านการค้าที่คึกคักมากในโตเกียว โดยเพราะถนนสายนี้ มีสำนักเกอิชาเปิดขึ้นถึงสามแห่ง ต่างแข่งขันกันในทุกด้านแต่สำนักของเธอถือว่าใหญ่และดังที่สุดในย่านนี้

ภาระอันแสนจะหนักอึ้งที่จะต้องพาธุรกิจที่ได้รับการตกทอดของครอบครัวไปให้รอด เมื่อยี่สิบปีก่อนแม่ของเธอต้องทำงานอย่างหนักเพื่อก่อตั้งมันขึ้นมา

 ช่วงนั้นเป็นช่วงหลังสงครามโลกใหม่ๆ เศรษฐกิจตกต่ำ แต่แม่ของเธอก็ยังสู้อุตส่าห์ประคับประคองกิจการให้อยู่รอดมาได้ กิจการต้องปิดไปชั่วคราวเพราะภาวะแห่งสงคราม พอเริ่มตั้งตัวได้เลยคิดจะเปิดมันขึ้นมาใหม่ ทั้งๆที่มีผับ บาร์เกิดขึ้นมากมายซึ่งเป็นอารยธรรมใหม่ที่พวกอเมริกันนำเข้ามา

สาวงามจากสำนักเกอิชา หลายคนทนความลำบากไม่ไหว ยอมขายเรือนร่างให้กับพวกอเมริกัน เกอิชาที่ไร้ซึ่งศิลปะ มีผู้หญิงหากินที่อ้างตัวเป็นเกอิชามีอยู่ทั่วบ้านทั่วเมือง

 แต่เพราะสำนักเกอิชาของแม่เธอมีนางงามชั้นดีอย่างอาโออิ ที่ช่วยเรียกแขก ไม่อย่างนั้นคงจะต้องปิดตัวและสูญหายไปพร้อมๆกับสำนักเกอิชาอื่นๆ

ในยุคนั้นเกอิชาเลื่องชื่อที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นอาโออิ ดอกไม้งามแห่งของญี่ปุ่นแต่มีเหตุให้ถูกซื้อตัวไปอยู่ยังดินแดนทะเลทรายอันไกลโพ้นที่แม่ของเธอบังเอิญได้ตัวมาเมื่อครั้งไปหัดวิชากามสูตรจากหญิงสาวเผ่ามายาที่ได้ขึ้นชื่อเรื่องความสามารถในเพศรสและวิธีการมูกมัดใจชายมากที่สุด

เด็กหญิงอาโออิในเวลานั้นหนีออกมาจากบ้านของเศรษฐีคนหนึ่ง เดินเท้าเปลือยเปล่าด้วยสภาพทรุดโทรม แล้วบังเอิญเดินเข้ามาชนกับแม่ของเธอเข้า

อาโออินั้นเป็นชื่อภาษาญี่ปุ่นเดิมของเธอก่อนถูกขายไป หญิงสาวผู้นั้นถูกขายเพราะความยากจนของครอบครัว ดวงตาสีดำสนิทกลมโต จมูกโด่งพองาม ริมฝีปากบางจิ้มลิ้ม ทุกสัดส่วนของใบหน้าล้วนสอดรับกันอย่างลงตัว เช่นเดียวกับซายูริไม่มีผิด

อาโออิกับคาเนดะ อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เป็นไมโกะฝึกหัดมาพร้อมๆ กัน รู้เห็นความเป็นไปของอาโออิดี เพราะว่าเธอกับสาวงามผู้นั้นเป็นเพื่อนสนิทกัน

คาเนดะเองก็ไม่คาดคิดเลยว่าอีกสิบกว่าปีต่อมาลูกสาวของเพื่อนรักผู้หายสาบสูญไปพร้อมๆ กับลูกชายจะเดินเท้าเปล่า เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ตากหิมะอันหนาวเหน็บมาพบเธอถึงหน้าสำนัก สภาพของเด็กหญิงในวันนั้นน่าสมเพชเวทนานัก

"เจ้าเป็นใครกัน จู่ๆมาเคาะประตูรียกฉัน แล้วพ่อแม่ไปไหน ปล่อยให้ตากหิมะมาแบบนี้ได้ยังไงกัน"คาเดนะในวัยสาบสิบห้าปีร้องถามพลางกวาดสายตามองหาผู้ปกครองของซายูริ

"หนูมาสมัครเป็นเกอิชาค่ะ"เด็กหญิงตอบฉะฉาน แม้ว่าจะอยู่ในสภาพตัวซีด ปากสั่น แต่แววตานั้นบ่งบอกถึงมุ่งมั่นของมันได้เป็นอย่างดี

"ใครพามาล่ะ"

"หนูมาคนเดียว"เด็กหญิงบอกขึ้น เธอเดินทางมาจากบ้านในชนบทด้วยรถประจำทางเท่าที่เงินเก็บอันน้อยนิดจะพาตัวเองมาได้ มาตามทิศทางที่ผู้เป็นย่าบอกเอาไว้ก่อนตายว่าแม่ของเธอนั้นในอดีตเคยทำงานอยู่ที่นี่ เป็นเกอิชาเลื่องชื่อที่เกอิชาทุกคนในยุคนั้นในโตเกียวจะต้องรู้จัก

 เมื่อเงินหมดแต่ความมุ่งมั่นยังไม่หมดไปด้วย เด็กหญิงซายูริ ริเอะเดินถามทางคนที่ผ่านไปมาเรื่อยๆท่ามกลางหิมะตกตลอดทั้งวันจนมาถึงที่นี่

"มาได้ยังไง เดินเท้าเปล่ามานี่น่ะหรือ"นางคาเนดะอุทานลั่นก่อนจะร้องบอกให้เด็กในสังกัดคนหนึ่งซึ่งก็คือมิกะเอาร่มออกมากางรับเด็กหญิงเข้าไปพักข้างใน

"ขอบคุณ"ซายูริบอกขึ้นเมื่อเด็กหญิงมิกะถอดเสื้อคลุมของตัวเองออกคลุมให้พร้อมกับรีบเดินไปรินชาร้อนๆใส่ในถ้วยเคลือบออกมายื่นให้

 ซายูริรับมาถือไว้ในอุ้งมือ ถูไปมาให้ความร้อนนั้นแทรกซึมเข้าสู่ปลายมือเย็นเฉียบของตัวเองจนมันอุ่นได้ที่จึงได้เงยหน้าขึ้นมองคาเนดะพร้อมกับคุกเข่าลง

"ได้โปรดรับหนูไว้ที่นี่ด้วยนะคะ"เด็กหญิงโขกศีรษะตัวเองแรงๆ ลงกับพื้นแทนการคำนับ คาเนดะรีบห้ามเมื่อเห็นว่าศีรษะของเด็กหญิงเริ่มบวมโน

"ทำไมเธออยากเป็นเกอิชานักฮึ......"นางผู้เป็นเจ้าของเกอิชาก้มหน้าลงถามด้วยความแปลกใจ กับแววตามุ่งมั่นของเด็กหญิง

"หนูไม่มีใคร ย่าเพิ่งตายไป ในชีวิตก็มีแต่ย่ากับแม่ที่ทิ้งหนูไป หนูอยากทำงานที่นี่เพื่อเก็บเงินออกไปตามหาแม่ค่ะ"ซายูริเงยหน้าขึ้นตอบทั้งน้ำตา คิดถึงเสาหลักในชีวิตอย่างนางมิยาอิขึ้นมาทีไร หัวใจของเด็กหญิงก็เหี่ยวเฉาลงทันที

"จะไปตามหาที่ไหนล่ะ แม่ของหนูอยู่ที่ไหน"

"แม่หนีไปที่เผ่าฟามาลย์ค่ะ อยู่ที่ประเทศอะไรหนูเองก็ยังไม่ทราบแต่ย่าเคยบอกว่าแม่เคยทำงานที่นี่ อาโออิค่ะ ท่านน้ารู้จักไหมคะ"ซายูริตอบตาแป๋วทำให้นางคาเนดะถึงกับยืนอึ้ง เซถลาไปเสียหลายก้าวก่อนจะตั้งสติได้แล้วจับจ้องมองใบหน้าของซายูริเขม็ง

"ลูกสาวของอาโออิหรอกหรือนี่"นางครางอย่างคาดไม่ถึง อาโออินั้นเป็นสาวงามที่เลื่องชื่อ มีค่าตัวสูงที่สุดในยุคนั้น มีผู้ประมูลพรมจารีให้สูงกว่าหญิงคนไหนจะได้รับแต่เจ้าตัวก็ไม่ยินยอมพร้อมใจ

ความสนิทสนมกันทำให้เธอพอจะทราบว่าสาวงามจากเลื่องชื่อคนนี้มีคนรักอยู่แล้วและสาวน้อยอาโออิก็ตั้งใจว่าจะเก็บเงินให้ได้มากที่สุดแล้วกลับไปอยู่กับคนรักของเธอ แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดหลังจากนั้นไม่นานอาโออิก็ตั้งท้องกับชายที่มาติดพันคนหนึ่ง

ทุกคนนั้นแทบไม่อยากเชื่อเพราะทาเคชินั้นเป็นผู้ชายในอันดับสุดท้ายที่สาวงามเลื่องชื่ออย่างอาโออิจะเลือกชายตามอง

"หนูคิดถึงแม่ คุณน้ารู้จักแม่ของหนูใช่ไหมคะ พอจะทราบไหมว่าเผ่าฟามาลย์นั่นอยู่ที่ไหน"ซายูริวางถ้อยในมือลงหันมาเขย่ามืออีกฝ่ายแรงๆ อย่างน้อยการมาที่นี่ของเธอก็ไม่เสียเปล่า เพราะดูเหมือนเธอผู้เป็นเจ้าของสำนักเกอิชาจะรู้จักแม่ของเธอดี

"เอาล่ะ อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้เลย ปากเจ้าเขียวหมดแล้ว เดี๋ยวจะมาตายที่นี่เปล่าๆ มิกะพานางไปพักที่ห้องของเจ้า วันนี้ฉันมีธุระต้องออกไปข้างนอกแล้วกลับมาค่อยคุยกัน"คาเนดะบอกจบก็หมุนตัวออกไปท่ามกลางสายตาละห้อยของซายูริ

เพราะอะไรกันนะ ดูเหมือนว่าแต่ละคนที่รู้จักแม่ของเธอ มักจะบ่ายเบี่ยงไม่อยากเล่าความหลังของแม่ให้เธอฟัง

"ไปเถอะ"มิกะ เด็กหญิงผมหยักศกสีน้ำตาลอ่อน ใบหน้าสะสวยแตะแขนเธอเบาๆพร้อมกับดุนหลังที่ทำท่าอ้อยอิ่งนั้นให้ลุกขึ้นพลางกวาดสายตาหาอะไรบางอย่าง

"อะไรหรือ"

"กระเป๋าเสื้อผ้าของเธอล่ะ ไม่เอามาด้วยหรือ"

"มี.....แต่ว่าในระหว่างทางถูกพวกจรจัดแย่งเอาไปหมด เหลือแค่ชุดนี้ชุดเดียว ส่วนรองเท้าของฉัน มันขาดตอนที่เดินมานี่"ซายูริก้มลงมองเท้าเปลือยเปล่าของตัวเองที่เริ่มจะบวม แดง เพราะถูกความเย็นจัดของน้ำแข็งกัดกร่อน

"โอ......เท้าเธอ"มิกะตาโต ยกมือขึ้นปิดปากตัวเองอย่างตกใจ แล้วเธอก็รีบนำเอาผ้าหลายผืนที่มีอยู่ในห้องมาห่อหุ้มขาของซายูริเอาไว้ให้

"ขอบคุณมาก"ซายูริน้ำตาซึมด้วยความซาบซึ้ง นอกจากคุณย่ามิยากิแล้ว ไม่เคยมีใครแสดงกิริยาอ่อนโยนอย่างนี้กับเธอมาก่อน

"ไม่เป็นไรจ้ะ ฉันชื่อมิกะ เพิ่งมาอยู่ที่นี่เดือนแรกเหมือนกัน"

"ฉันชื่อซายูริ ริเอะ ฉันจะต้องเป็นเกอิชาของที่นี่ให้ได้ ถ้าเขาไม่รับฉัน ฉันจะฆ่าตัวตาย"ซายูริบอกขึ้นด้วยท่าทางเอาจริงจนมิกะตกใจ

"อะไรกัน"

"ฉันไม่มีทางเลือกแล้ว เธอจะให้ฉันไปไหนได้ล่ะ ในสภาพนี้"ซายูริก้มลงมองเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งของตัวเอง และเท้าเปลือยเปล่า มิกะยิ้มแหยๆ หากเป็นเธอต้องเจอกับสภาพอย่างนั้นก็คงต้องยอมขายตัวเอง เพื่อแลกกับการมีชีวิตรอดต่อไปในสังคมเห็นแก่ตัวอย่างปัจจุบันนี้

ความคิดล่องลอยของคาเนดะจบลง เมื่อเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น สาวใช้สองคนเดินเข้ามาบอกกับเธอว่ามีพ่อแม่ยากจนคู่หนึ่งจะเอาเด็กผู้หญิงมาขายให้ เหมือนเป็นวัฎจักร เมื่อไมโกะกำลังจะเลื่อนขั้นได้เป็นเกอิชา ก็จะมีเด็กผู้หญิงคนใหม่เข้ามาแทนที่

ตอนที่ 3

"แม่....."เสียงตะโกนลั่นของชายหนุ่มอายุประมาณ 25 ปีในชุดเสื้อคลุมยาวสีดำสนิท พร้อมๆกับที่เขาวิ่งเต็มฝีเท้าโผเข้ารวบร่างผอมๆ ของสตรีนางหนึ่งที่ห้อยโหนตัวเองอยู่กับขื่อของตัวบ้าน ร่างนั้นหมดสติคอพับคออ่อนไปแล้วเมื่อเขาได้มาถึง

"ยูซุป! เร็วเข้า ใครอยู่ข้างนอก เอารถออก ข้าจะพาแม่ไปหาหมอ"ชายหนุ่มผู้นั้นตะโกนก้องราวกับคนบ้าคลั่ง ค่อยๆวางร่างไร้สติของมารดาลงกับเตียงนอน จัดการผายปอดช่วยชีวิตเบื้องต้นตามที่ได้ขอให้หมอช่วยสอน เพราะนี่ไม่ใช่เพียงครั้งแรกที่ซายีน่าแม่ของเขาคิดฆ่าตัวตาย

เพราะความรักตัวเดียว ที่ทำให้แม่ของเขาต้องตกอยู่ในสภาพอย่างนี้ ตั้งแต่จำความได้ ฮัสซาร์ผู้เป็นพ่อ  คหบดีที่ร่ำรวยที่สุดในสหรัฐอาหรับดิลิยะ เมืองที่เต็มไปด้วยน้ำมันดิบอันล้ำค่า พ่อผู้ปรนเปรอลูกเมีย ด้วยเงินทองแต่ไม่เคยมอบความรักอันแท้จริงให้

ชีวิตของชายผู้นี้ มีแต่เรื่องผู้หญิงเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ซ้ำหน้า แม่ของเขาต้องพบกับความทุกข์ใจอย่างแสนสาหัส ทุกคืน เขาจะเห็นผู้เป็นแม่นอนร้องไห้ รอคอยว่าเมื่อไหร่ผู้เป็นสามีถึงจะกลับมานอนบ้าน

จากความเครียดที่กดดันอยู่ภายในใจของซายีน่ามาหลายปี นับตั้งแต่คลอดบุตรชายคนเดียวคืออัสมาน ความทุกข์สะสมมาเรื่อยๆ จนมาถึงขีดสุดเกินกว่าที่สติสัมปชัญญะของนางจะทนทานได้เมื่อ ฮัสซาร์นั้นพาผู้หญิงคนหนึ่งเข้าบ้าน และทำอะไรกันบนตียงนอนของแม่

ภาพตำตานั้นทำให้ซายีน่ากรีดร้องสุดเสียงและไม่รับรู้อะไรอีกเลย แม้แต่ลูกชายคนเดียวอย่างอัสมานยังจำไม่ได้ ความคิดของนางเฝ้าวนเวียนอยู่อย่างเดียว รอคอยว่าเมื่อไหร่สามีถึงจะกลับมารักตัวเองอย่างเดิม อาการซึมเศร้าทำให้ความคิดฆ่าตัวตายของนางมีอยู่ทุกขณะจิต

"ฮัสซาร์......"เสียงพึมพำของซายีน่าดังขึ้นแผ่วๆ พร้อมด้วยอาการสะอื้นฮักอย่างอ่อนแรง ดูเอาเถอะแม้

แต่วาระสุดท้ายของชีวิตกำลังจะมาถึง นางก็ยังละเมอชื่อของสามี ผู้ไม่เคยเอาใจใส่ตัวเอง

                "โธ่.....แม่ครับ"อัสมานครางลึกภายในลำคอ ความสงสารผู้เป็นแม่มีมากเท่าใด ความโกรธและเกลียดชังที่มีต่อผู้หญิงไร้ค่าที่ยอมเอาตัวเป็นเมียน้อยของคนอื่นยิ่งมีขึ้นเป็นทวีคูณ แม้ศาสนาจะอนุญาตให้ชาวอิสลามมีภรรยาได้ถึงสี่คนแต่พ่อของเขาก็ไม่เคยหยุด

                ดูเหมือนอายุจะไม่ใช่ปัญหาสำหรับนังผู้หญิงพวกนั้น เพราะพ่อของเขานั้นยิ่งแก่ยิ่งเนื้อหอม หอมเงินอย่างไรล่ะ

นับว่ายังดีที่ตั้งแต่แม่ป่วยด้วยอาการทางจิต พ่อของเขาก็ไม่พาผู้หญิงเข้ามาที่บ้านอีกแต่เลือกไปหาความสำราญยังนอกบ้านแทน อย่าให้เจอก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นนังพวกนั้นมันได้โดนดีแน่

"หมอมาพอดีครับ"ยูซุปคนสนิทของเขาวิ่งเข้ามารายงานพร้อมด้วยหมอประจำตัว ชายร่างท้วมวางกระเป๋ายาลงข้างตัวพร้อมกับตรวจดูอาการของคนเจ็บ

"ปลอดภัยแล้วล่ะครับ โชคดีที่คุณมาช่วยทันเวลา"หมอเงยหน้าขึ้นพร้อมระบายลมหายใจยาวเหยียดออกมาอย่างโล่งใจ

 อัสมานรักแม่มาก ใครๆก็ย่อมทราบดี หากแม่ซายีน่าเป็นอะไรไป อิทธิพลของอัสมาน ในตำแหน่งนักธุรกิจ เจ้าของบริษัทน้ำมัน ที่ถือเป็นเจ้าพ่อในวงการจนแม้แต่สุลต่านอย่างฮุลยาตยังต้องเกรงใจ คงจะทำให้ตำแหน่งหมอของเขาสั่นคลอนเอาได้ง่ายๆ

"แม่ครับ เป็นยังไงบ้าง เจ็บตรงไหนหรือเปล่า"ชายหนุ่มกระซิบถามและลูบศีรษะมารดาอย่างอ่อนโยนแตกต่างจากยามอื่นโดยสิ้นเชิง

เขาเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลา ใบหน้าออกเหลี่ยมนั้นดูคมเข้ม คิ้วหนาดกดำ ริมฝีปากบางเฉียบ เหมาะกันไปทุกสัดส่วนแต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดก็คือ ดวงตาคมดุ ประดุจดวงตาปีศาจที่พร้อมจะสังหารศัตรูที่มาเข้าใกล้แม้เพียงแค่ได้สบตาสีเหล็กคู่นั้น

ความทรงจำเลวร้ายในวัยเด็กทำให้อัสมานกลายเป็นชายหนุ่มผู้เย็นชา ไม่ศรัทธาในความรัก ผู้หญิงเป็นเพียงวัตถุชิ้นหนึ่งสำหรับเขา ที่สามารถซื้อมาหาความสำราญได้ด้วยเงินเท่านั้น

"ใคร......อ้อ.....อัสมาน"เสียงนั้นบอกแผ่วๆ แต่ชายหนุ่มก็ยังอุตส่าห์ได้ยิน หลายปีมาแล้วที่ซายีน่าไม่เคยเอื้อนเอ่ยชื่อของเขา อัสมานโผเข้ากอดร่างของมารดาแนบแน่น หยาดน้ำตาแห่งอารมณ์อ่อนไหวที่ซุกซ่อนอยู่ภายในหลั่งริน

"แม่จำได้แล้ว"ชายหนุ่มละจากอ้อมกอดของมารดาหันมาบอกหมอมูลราห์อย่างดีใจ ต่อให้ต้องแลกกับทุกอย่างที่มีเพื่อให้ผู้เป็นแม่หายดีแล้ว เขาก็ยินยอม

"นับว่าเป็นเรื่องดีมากครับ ผมจะให้พยาบาลมาดูแลอย่างใกล้ชิดมากขึ้น คิดว่าไม่นาน ความทรงจำต่างๆของคุณซายีน่าจะต้องกลับมา"หมอให้ความหวัง

"ขอบคุณมากหมอ ถ้าแม่ผมหายดี เมื่อไหร่ หมออยากได้อะไรขอให้บอก"อัสมานบอกขึ้น ก่อนจะมอบภาระหน้าที่ดูแลแม่ให้กับหมอและพยาบาลต่อไป

ตัวเขานั้นมีงานด่วนที่ผู้เป็นพ่อมอบหมายให้ดูแล ส่วนตัวเองนั้นไปเที่ยวต่างประเทศเพื่อหาความสำราญโดยไม่สนใจว่าซายีน่าผู้เป็นภรรยานั้นจะมีสภาพเป็นอย่างไร ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ฮัสซาร์บินไปบ่อยที่สุด อยากจะรู้เหมือนกันว่าที่นั่นมีอะไรดี!

*****************************************************************************************************

เสียงฝีเท้าเดินกลับไปกลับมาของมิกะทำให้ซายูริต้องวางหนังสืออ่านเล่นลงแล้วหันมามองยิ้มๆ เวลานี้จิตใจของเธอเย็นขึ้นมากแล้วจึงไม่กระวนกระวายอย่างมิกะ

"เป็นอะไรไปมิกะ ถูกกักบริเวณอยู่ในห้องมาหลายวันแล้ว นี่ยังไม่ชินอีกหรือ"

"เย็นสิ เย็นจนจะลวกเธอได้อยู่แล้ว ดูสิ ริเอะ....ได้ยินเสียงคนอื่นๆ เขากำลังแต่งตัวออกไปแสดงโชว์คืนนี้หรือเปล่า ฉันใจจะขาดแล้ว"

"เห็นและก็ได้ยินเหมือนๆ กับเธอนั่นแหละ แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ก็เราสองคนกำลังถูกลงโทษอยู่นี่นา อย่าคิดมากเลยน่า ดูอย่างฉันสิยังทำใจได้เลย มาดูนี่มา....."ซายูริลุกเดินจากเก้าอี้มาจูงมือของมิกะออกมายังริมหน้าต่างแล้วชี้ชวนให้ดูพระจันทร์เต็มดวงบนท้องฟ้า

"การเป็นเกอิชาเต็มตัว มันเป็นความฝันสูงสุดของพวกเรา ฉันรู้ว่าเธอเองก็เสียใจแล้วยังจะมีอารมณ์ชมพระจันทร์อีก"มิกะหน้ายุ่ง ซายูริยิ้มเย็น

"คนขายศิลปะอย่างเราก็ต้องมองทุกสิ่งทุกอย่างให้สวยงาม นี่อย่างไรล่ะเสียงลมพัดหวีดหวิว ทอประสานกับเสียงแมลงที่ร้องระงม พระจันทร์กลมโต ประดุจโคมทองที่จะส่องแสงสว่างนำทางให้เราเดินไปยังจุดหมายปลายทาง ดวงจันทร์ไม่มีวันดับ ตราบใดเราก็ยังมีความฝัน"หญิงสาวหลับตาพริ้ม ใช้สมาธิและหัวใจฟังสรรพสิ่งรอบกายอย่างผ่อนคลายไม่ร้อนรนอย่างมิกะ

"ชุดกิโมโนที่เราสองคนอุตส่าห์เลือกมา จะมีประโยชน์อะไรล่ะ ถ้าไม่มีโอกาสได้สวมใส่"มือเรียวของคนพูดลูบคลำชุดกิโมโนสีส้มสดกับโอบิสีเขียวเข้มและปิ่นปักผมประดับมุกอันใหญ่อย่างเสียดาย ซายูริเองก็เหลือบมองกิโมโนสีดำลายต้นหลิวของตัวเองอย่างเศร้าใจเช่นกัน

"เฮ้อ......การถูกขังอยู่ในห้องแบบนี้ ทำให้นึกถึงตอนเด็กๆ ที่เรา ทะเลาะกับเกอิชารุ่นพี่จนต้องถูกลงโทษเนอะ"ซายูรีบเปลี่ยนเรื่อง ก่อนที่หยาดน้ำตาของตัวเองจะไหลออกมาบ้าง

"ไม่ใช่ความผิดของเราสักหน่อย พี่ฮารินะ ต้องการจะแกล้งเรา"เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น เธอกับซายูริและไมกะรุ่นเดียวกันได้รับการฝึกอย่างหนัก ต้องคอยรับใช้เหล่าเกอิชารุ่นพี่งกๆ บางคนที่ไม่ชอบหน้าเธอทั้งสองอย่าง ฮารินะก็แกล้งใช้งานหนักๆ โดยไม่สั่งสอนวิชาอะไรให้เลย ตรงข้ามกับมารีนและเพื่อนของหล่อน ที่ฮารินะนั้นเฝ้าสอนทุกอย่างให้อย่างหมดเปลือก

"พี่ฮารินะ รุ่นพี่ขา......"เสียงร้องของมารีน ในวัยสิบเอ็ดปี ไมโกะรุ่นเดียวกัน ร้องตะโกนโวยวายขณะถือชุดกิโมโนราคาแพงของฮารีนะติดมือมาด้วย ฮารินะเองก็วางมือจากการชงชาสูตรใหม่ลงเมื่อได้ยินเสียงไมโกะคนโปรดร้องเอะอะ

"มีอะไร"ร้องถามแต่สายตาเหลือบมองชุดโปรดในมือของอีกฝ่ายเขม็ง มือเรียวรีบคว้ามันขึ้นมาดูอย่างสังหรณ์ใจ ดวงตาคู่งามนั้นสาวโรจน์ขึ้นอย่างน่ากลัว ริมฝีปากบางบิดโค้งตามแรงโทสะที่แล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆก่อนจะระเบิดออกมาเป็นเสียงกรีดร้อง

"ใครทำชุดกิโมโนของฉัน"

"นังสองคนนั่นค่ะ ซายูริกับมิกะ"มารีนรีบฟ้อง ฮารีนะกำมือแน่นสาวเท้าเร็วๆออกไปหาซายูริกับมิกะที่กำลังง่วนอยู่กับการตั้งหน้าตั้งตานวดแป้งในครัวกับยายเฒ่าคนครัว

"นังซายูริ"เสียงตวาดดังขึ้นจนสองเด็กหญิงสะดุ้งเฮือก เร็วเท่าความคิดเมื่อฮารีนะจิกผมของซายูริขึ้นมาจนหน้าหงายพร้อมกับระดมตบไม่ยั้ง ท่ามกลางความตกใจของทุกคน โดยเฉพาะมิกะที่อุตส่าห์เข้าไปช่วยจนถูกผลักกระเด็นไปจนศีรษะกระแทกเข้ากับข้างฝา

"อะไรกันคะ"ซายูริน้ำตานอง เงยใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตาและรอยบวมช้ำขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ แวบหนึ่งที่เธอแอบเห็นแววตาสาสมใจปรากฏขึ้นบนดวงตาของมารีน

"แหกตาดูนี่สิ ชุดนี้แกรู้ไหมว่ามันราคาเท่าไหร่ ฉันต้องทำงานชดใช้โอคาซังกี่ปี ถึงจะพอค่ากิโมโน"ฮารินะปาชุดสวยของเธอใส่หน้าอีกฝ่ายเต็มแรง

ซายูริงงงันหนักขึ้น รีบคว้าเสื้อตัวนั้นขึ้นมาดูอย่างตกใจ กิโมโนตัวสวยที่เธอได้รับมอบหมายให้ซักและพับเก็บเอาไว้ซึ่งเธอก็ทำมันแล้วอย่างเรียบร้อยทุกอย่างในสภาพปกติดี แต่ทำไมเวลานี้มันถึงได้ขาดรุ่งริ่งราวกับถูกไฟไหม้อย่างนั้น

"ฉันไม่รู้เรื่องนะคะ"ซายูริปฏิเสธปากคอสั่น

"ไม่รู้เรื่องแล้วเสื้อมันจะขาดอย่างนี้ได้ยังไง ฉันให้แกเอาไปซักให้แล้วมันก็มีสภาพอย่างนี้"ฮารินะเสียงดัง ความเสียดายชุดมีมากจนอยากจะบีบคอเล็กๆ นั่นให้ตายคามือ

"ฉันซักมันแห้งและพับมันเก็บในชั้นให้อย่างดีแล้วนะคะ"

"โกหก หลักฐานเป็นชุดขาดอยู่ในมือ เห็นตำตาอย่างนี้ยังจะมาปฏิเสธ"เสียงนั้นเป็นของมารีน ผู้วิ่งหน้าแป้นเอาหลักฐานนี้มาให้ดูก่อนใคร

"แต่ฉันเป็นพยานให้ได้นะคะ ฉันเป็นคนช่วยริเอะซักเอง"มิกะคลำศีรษะบวมโนตัวเองป้อยๆ แล้วรีบเสนอตัวเองเป็นพยาน

"ถ้าแกสองคนซักมันอย่างดีแล้วมันจะขาดอย่างนี้ได้ยังไง"

"ใช่.......แกจงใจจะแกล้งพี่ฮารินะใช่ไหม"มารีนชี้หน้า แววตาสะใจของอีกฝ่ายทำให้ซายูริต้องมองเขม็งอย่างจับผิด

"ใครเอาชุดนี้มาให้พี่คะ มารีนใช่ไหม"ซายูริร้องถาม มารีนอึกอักก่อนจะรีบปรับสีหน้าเมื่อเห็นสายตาของฮารินะมองมาที่เธอเช่นเดียวกัน

"ฉันเอาชุดของพี่โอชุนไปเก็บ แล้วเห็นชุดของพี่ฮารินะขาดก็เลยรีบถือมาให้ดู"มารีนเถียงกลับได้ทันควัน แม้น้ำหนักคำพูดจะดูไม่น่าเชื่อถือแต่เมื่อหัวใจมันลำเอียงอยู่แล้ว ฮารินะจึงเลือกที่จะเชื่อไมกะคนโปรดอย่างมารีนมากกว่า

"ฉันจะไปฟ้องโอคาซัง"ฮารินะบอกเสียงกร้าว ดังนั้นเมื่อเรื่องนี้ถึงหูของโอคาซัง ซายูริกับมิกะเลยต้องถูกลงโทษกักบริเวณและทำงานหนักเป็นการชดใช้ค่าเสียหาย เท่ากับราคาของกิโมโนชุดนั้น กว่าจะใช้ได้หมดก็เป็นเวลาเกือบห้าปีทีเดียว.,.............

"นึกแล้วยังเจ็บใจไม่หาย ครั้งนั้นเราสองคนถูกนังมารีนมันแกล้ง มาครั้งนี้เหตุการณ์ซ้ำรอยเดิมก็เกิดอีก แล้วก็เหมือนเดิม เราสองคนต้องถูกขังอยู่ในนี้"

"ไม่เอาน่า โอคาซังก็มีเหตุผลที่ต้องขังเรา ไม่อย่างนั้นใครจะเชื่อฟัง"ซายูริบอกอย่างเข้าใจ มิกะทำท่าจะเถียงแต่แล้วเสียงเอะอะที่ดังขึ้นมาจากทางด้านห้องแต่งตัวของคาเนดะก็ดังขึ้น

 เสียงนั้นบ่งบอกว่าจะต้องเกิดเรื่องร้ายแรงอะไรขึ้นอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นคนที่วางตัวด้วยกิริยาแช่มช้อยอย่างคาเนดะผู้เป็นโอคาซังของที่นี่คงไม่มีทางปล่อยเสียงกรีดร้องออกมาอย่างนี้แน่ๆ สองสาวรีบวิ่งไปทางประตูและแนบใบหูชิดเพื่อแอบฟังเหตุการณ์จากภายนอก

"ท้องเสียหนักอย่างนี้แล้วจะออกแสดงได้ยังไง รู้อยู่แล้วว่าคืนนี้จะมีงานแล้วยังจะกินอะไรแสลงเข้าไปอีก"นางคาเนดะโวยวายหนักยิ่งขึ้น เมื่อสองสาวในสำนักที่จะเปิดตัวคืนแรกในวันนี้มีอาการท้องเสียหนักจนต้องวิ่งเข้าห้องน้ำทุกชั่วโมง แล้วอย่างนี้การแสดงรำพัดที่จะจัดขึ้นจะมีใครขึ้นแสดง

"ไหวไหม"เพื่อนที่ร่วมแสดงรำพัดด้วยกันกระซิบถามอย่างวิตก หากมีตัวแสดงไม่ครบการร่ายรำนั้นจะสวยงามและครบองค์ประกอบได้อย่างไร

"ไหว......"เสียงนั้นแหบระโหยและพยายามจะลุกขึ้นแต่แล้วก็กลับนอนแบ็บลงไปใหม่ หลายคนที่มองลุ้นเลยต้องม่อยหน้าไปตามๆกัน

"ซายูริกับมิกะยังไงล่ะคะ"อีกคนหนึ่งโพล่งขึ้น ช่วยจุดประกายความหวังที่ริบหรี่ของคาเนดะที่มีเท่ารูเข็มให้ขยายกว้างขึ้น ไม่รอช้าเมื่อนางสาวเท้าไปยังห้องพักของซายูริ ไขกุญแจและผลักมันเปิดออกอย่างรวดเร็ว ทำให้ซายูริกับมิกะที่กำลังเงี่ยหูฟังแนบชิดกับขอบประตูนั้นหลบไม่ทัน ล้มระเนระนาดไปคนละทาง

"อะไรอีกล่ะ รีบไปอาบน้ำแต่งตัวเร็วเข้า"คาเนดะกวาดสายตามองสภาพเด็กในสังกัดอย่างระอาก่อนจะบอกขึ้นอย่างรีบร้อน

"คะ?"ซายูริเลิกคิ้วขึ้นถามอย่างไม่แน่ใจ เพราะถึงจะแอบฟังแต่ผนังหนาที่กั้นก็ทำให้ได้ยินไม่ชัดนัก ว่าพวกเขาคุยอะไรกันบ้าง

"ถ้าเจ้าสองคนยังชักช้าอีก คืนนี้ฉันจะไม่ให้ทำการแสดง"

"หมายความว่า?"มิกะตาโตแต่ไม่ทันได้ซักถามก็ถูกมือเรียวของซายูริลากออกไปยังห้องอาบน้ำทันที สองสาวผลัดเปลี่ยนกันอาบน้ำด้วยความสุขใจ

"ฉันยังไม่อยากจะเชื่อเลยนะริเอะ ว่าพระเจ้าจะเข้าข้างเราสองคนอย่างนี้"มิกะยังพึมพำไม่เลิกด้วยความตื่นเต้นจนกระทั่งมาถึงห้องแต่งตัวแล้วก็ตาม

"เธอพูดมารอบที่สิบแล้วมิกะ มาช่วยดูสายโอบิของฉันหน่อยสิ ว่ามันตรงดีไหม"ซายูริบอกขึ้นอย่างร่าเริง มิกะตรงเข้าผูกสายคาดโอบิสีเขียวสดนั้นให้เพื่อนรัก

ชุดกิโมโนสีดำที่ซายูริเลือก ช่วยขับผิวของหญิงสาวให้ขาวนวลผุดผ่องยิ่งขึ้น ผมยาวสลวยของเธอถูกเกล้าขึ้นสูงตามแบบฉบับของเกอิชาที่เรียบง่ายและมีเครื่องประดับตกแต่งน้อยกว่าตอนเป็นไมโกะ มิกะเสียบปิ่นปักผมรูปผีเสื้ออันใหญ่สองอันให้

"เฮ้อ......ใครจะรู้บ้างนะว่าภายใต้ความงามของเราต้องเจอกับอะไรบ้าง แค่ทรงผมของเราก็ต้องใช้เวลาเกล้าหลายชั่วโมง รวมเครื่องประดับแล้วก็หลายกิโล หากแก่ตัวไปเราคงจะต้องเป็นโรคอะไรสักอย่างแน่ๆ"ซายูริแตะมวยผมตัวเองขำๆ

"อย่ามัวแต่ขำทรงผมอยู่เลย หน้าเธอยังไม่ลงแป้งขาว มานี่เถอะฉันจะลงให้"มิกะที่แต่งตัวเสร็จแล้ว ดุนตัวเพื่อนรักให้นั่งลงบนโต๊ะ

มิกะเริ่มต้นลงแป้งขาวให้อย่างตั้งใจจนใบหน้านวลนั้นขาวผุดผ่อง ดูหลอกตา เสน่ห์ของเกอิชา การลงแป้งขาวเอาไว้เพื่อให้แขกที่มาไม่เห็นใบหน้าจริง นั่นยิ่งช่วยเร่งเร้าให้พวกเธอดูน่าค้นหายิ่งขึ้น

"ขนาดลงแป้งจนขาวจั๊ว มองไม่เห็นใบหน้าจริง เธอยังงามขนาดนี้เลยนะซายูริ ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง เริ่มต้นจากการเป็นไมโกะ ก้าวมาเป็น มินาราอิซัง จนวันนี้ใกล้จะได้เป็นเกอิชาเต็มตัว ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะ"มิกะมีสีหน้าชวนฝัน

"อืม......ฉันก็ดีใจ ต่อไปนี้ฉันจะตั้งใจเก็บเงินให้ได้มากที่สุด ฉันจะออกไปตามหาแม่"

"นึกว่าเธอลืมไปแล้วเสียอีกนะ"

"ถ้าฉันไม่อยากได้เงินเยอะๆ คงไม่ขายตัวเองมาที่นี่ เพราะฉะนั้นนอกจากความตายแล้ว ไม่มีอะไรมาขัดขวางความคิดของฉันได้หรอก อย่าลืมสิ แม่กับน้องยังรอฉันอยู่นะ"ซายูริว่าอย่างนั้นมาแล้ว มิกะเลยได้แต่ยิ้มอย่างเห็นใจ

ทั้งที่ในความจริงแล้ว อยากจะบอกอย่างที่ใจคิดเหลือเกินว่าแม่ของซายูริอาจจะไม่ได้ต้องการพบหน้าลูกสาวคนนี้เลยก็ได้แต่คำพูดที่หลุดรอดออกมาก็คือ

"จ้า......งั้นก็ตามใจเถอะ ดูรองเท้าฉันสิ สูงเกินไปหรือเปล่า มันทำให้ฉันเดินตัวแทบไม่ตรงแล้ว"มิกะผู้แสนจะช่างบน บ่นได้แทบทุกเรื่องแต่ซายูริก็ชินชากับนิสัยของเพื่อนเสียแล้วจึงได้ถอดของตัวเองออกแล้วเปลี่ยนให้ ขนาดของมันแทบจะไม่ต่างกันเลยแต่เจ้าตัวนั้นพอใจนักหนา

"คู่นี้ค่อยพอดีหน่อย"

"จ้ะ.....ฉันเองก็คิดอย่างนั้น"ซายูริส่ายหน้า

"นี่ รู้ไหมริเอะ ว่าทำไมโอคาซังจะต้องย้ำนักหนาว่าต้องให้พวกเราทาปากแค่ครึ่งเดียว"มิกะถามขึ้นด้วยความสงสัยและทุกครั้งที่อยากรู้อะไรเพียงแค่คิดคำถามขึ้นมา ซายูริก็สามารถไขข้อข้องใจให้ได้ทุกครั้งไปและครั้งนี้เธอก็ไม่ผิดหวัง

"การแต่งหน้าและการแต่งตัวของเกอิชาจะต้องแต่งหน้าให้ดูหนาเตอะเหมือนสวมหน้ากาก มันจะได้ดูเร้นลับเพื่อรอการเปิดเผยจากผู้ชายที่สามารถประมูลราคาพรมจารีของเธอได้อย่างไรล่ะ ทาริมฝีปากครึ่งเดียวเพื่อให้ดูคล้ายการเชื้อเชิญ ยิ่งถ้ามีการเผยให้เห็นไรผมเล็กน้อยจะทำให้หน้าดูเด่นขึ้น"

"เธอรู้มาจากไหนน่ะ"

"โอคาซังบอก เพราะว่าฉันเองก็เคยสงสัยมาก่อนเธอ"

"เฮ้อ......ใครกันนะบอกว่าเกอิชาเป็นกันง่ายๆ เที่ยวมาดูถูกพวกเราว่าขายเรือนร่าง เราไม่เหมือนกันกับพวกโออิรันสักหน่อย พวกนั้นให้เพราะขายแต่พวกเราให้เพราะความรักหรือความพอใจ"

"อย่าไปคิดมากเลย คนภายนอกจะมองพวกเราว่าอย่างไรมันไม่สำคัญหรอก แต่พวกราย่อมรู้ดีว่าราไม่เหมือนพวกโออิรัน ดูแค่โอบิสิ พวกเรามัดไว้ข้างหลังแต่พวกนั้นมัดไว้ข้างหน้าเพื่อง่ายต่อการถอดเข้าถอดออกวันละหลายครั้ง ทรงผมเราก็ไม่ต้องอลังการเท่า เท่านี้คนก็ดูออกแล้วล่ะ"

"ฮึ.......ถึงอย่างไรคนก็ชอบมองว่าเราขายเรือนร่างอยู่ดีเป็นเพราะเดี๋ยวนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน เกอิชาปลอมๆมีเกลื่อนเมืองเลยพลอยทำให้เกอิชาแท้อย่างพวกเราพลอยเสื่อมเสีย แต่จะว่าไปฉันก็ไม่คิดว่าจะมีใครมารักชอบเราจริงๆหรอกนะ อย่างดีพวกเราก็แค่หาดันนะมาอุปถัมป์ได้สักคน ไอ้จะหวังถึงเรื่องแต่งงานคงยาก"มิกะบอกขึ้นอย่างไร้ศรัทธาในรักแท้แต่ซายูริกลับส่ายหน้า

"ฉันเชื่อว่าสักวันพวกเราจะต้องเจอรักแท้ และฉันก็จะมอบพรมจารีที่ล้ำค่าเอาไว้รอเขา หากเขารักฉันจริง เขาจะต้องเชื่อใจฉัน"

"เธอนี่คิดอะไรไม่เหมือนคนอื่นอยู่เรื่อย"

"เพราะว่าพ่อกับแม่ก็เป็นคู่รักที่น่ายกย่อง แม่เป็นเกอิชาที่ได้แต่งงานกับดันนะอย่างพ่อยังไงล่ะ"ความเชื่อที่หยั่งรากฝังลึกในใจของซายูริยากที่ใครจะห้ามได้

"แต่ฉันจะมอบให้คนที่ประมูลราคาของมันได้มากที่สุด เรื่องอะไรจะเก็บให้คนที่เราไม่รู้ว่าจะเจอหรือเปล่า ฉันไม่อยากจะแห้งเหี่ยวจนไม่มีใครมาประมูล ไม่ต่างจากม้าแก่โง่ๆที่ไม่มีใครเขาอยากขี่"มิกะกล่าวขึ้น สองสาวสวยที่นิสัยแตกต่างแต่ความสัมพันธุ์แน้นแฟ้นยาวนาน

"หญิงสาวอย่างเราเมื่อแรกเริ่มก็เหมือนผืนแผ่นดินที่ยังใหม่ ยังน่าสนใจและน่าค้นหา เป็นดินแดนที่ทำให้พวกผู้ชายมีความตื่นเต้นและอยากจะสำรวจไม่มีที่สิ้นสุด ต่อมาก็กลายเป็นดินแดนที่ถูกสำรวจมาจนคุ้นทางกันดีแล้ว รู้งานและใช้ได้ในทันที และในเวลาต่องานเราก็คงจะเป็นดินแดนที่ถูกใช้งานมาจนลุ่ย หมดปุ๋ย หมดธาตุอาหาร เป็นที่ให้ต้นไม้เกิดได้แต่ไม่งอกงามและในวาระสุดท้ายเราก็คงจะเป็นแผ่นดินร้างที่ไม่อยากจะมีใครย่างกรายเข้ามาใกล้"ซายูริแค่นยิ้ม

เธอไม่มีทางที่จะมอบความรักให้กับผู้ชายที่มาเที่ยวสถานที่แห่งนี้ เพราะนั่นแสดงให้เห็นได้ว่าเขายอมละทิ้งครอบครัวเพื่อออกมาหาความสำราญนอกบ้าน ย่อมไม่ใช่คนที่เธอจะฝากชีวิตเอาไว้

"พร้อมหรือยัง"เสียงคาเนดะดังขึ้น ทำให้การสนทนาของเหล่าสาวๆจบลงและพร้อมจะออกแสดงในคืนแรกกับชีวิตเกอิชาเต็มตัว

"ไปเถอะ มิกะ"ซายูริจูงมือเย็นเฉียบของมิกะให้ออกเดิน คืนแรกของโชว์พวกเธอจะแสดงรำพัดกัน ทั้งที่ได้ฝึกซ้อมมาอย่างดีแล้วแต่ก็อดตื่นเต้นไม่ได้

"คืนนี้ ท่านคหบดีและเหล่าชีคทั้งหลายจากสหรัฐอาหรับดิลิยะห์จะมาที่นี่ เพราะฉะนั้นพวกเจ้าจะต้องต้อนรับให้ดีๆ พวกนี้น่ะตัวเงินตัวท้องทั้งนั้น เงินจากการขายน้ำมันมีมากมายจนสามารถซื้อสำนักเกอิชาของพวกเราไปไว้ที่บ้านได้อย่างสบาย"นางคาเนดะบอกขึ้นอย่างตื่นเต้น

 นานมาแล้วที่สำนักของเธอไม่ได้ต้อนรับแขกที่ร่ำรวยระดับโลกอย่างนี้ แต่แขกประจำของที่นี่ก็คงจะเป็นคหบดีฮัสซาร์ ที่แวะเวียนมาปีละหลายครั้งแต่ครั้งล่าสุดก็เมื่อปีที่แล้วและทุกครั้งที่มาเด็กๆของเธอก็มีกินมีใช้ไปหลายเดือน แจกเงินราวกับว่าตัวเขานั้นผลิตมันได้เสียเอง

เมื่อก่อนนี้สำนักเกอิชาใช่ว่าจะเป็นสถานที่ที่ใครๆจะเข้าออกกันได้ง่ายๆ โดยเฉพาะคนต่างชาติ แต่ภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่สองจบลง พวกคนต่างชาติโดยเฉพาะอเมริกันก็เข้ามาครอบครอง เป็นใหญ่

อารยธรรมตะวันตกหลั่งไหลเข้ามาแทนที่ประเพณีอันดีงามที่สืบทอดกันมา ผับบาร์ถูกเปิดขึ้นเกลื่อนเมือง เกอิชาหลายคนต้องผันตัวเองไปเป็นนางโชว์ตามสถานที่เหล่านั้นหรือไม่ก็เป็นโออิรันกันอย่างเปิดเผยแล้วอ้างตัวว่าเป็นเกอิชา

สำนักเกอิชาของนางคาเนดะจึงต้องปรับตัวรับคนต่างชาติให้เข้ามาใช้บริการ ไม่อย่างนั้นกิจการก็อาจจะต้องปิดตัวไปอย่างของคนอื่นๆ

 
Link to Post    -Back to Top

Bookmark and Share

กรุณาเข้าสู่ระบบหรือสมัครสมาชิกก่อนโพสข้อความค่ะ
»
คลิ๊กที่นี่
Advertising Zone    Close
 
 
 
 
 
 
Online:  1
Visits:  57,694
Today:  34
PageView/Month:  44

ยังไม่ได้ลงทะเบียน

เว็บไซต์นี้ยังไม่ได้ลงทะเบียนยืนยันการเป็นเจ้าของเว็บไซต์กับ Siam2Web.com